คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ทำงานในหน้าที่ผู้จัดการจำเลย โดยโจทก์ต้องจัดหาสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ มาจำหน่ายในร้านสหกรณ์จำเลยโจทก์ต้องเอาเงินโจทก์ไปลงทุนหมุนเวียนเป็นจำนวนถึง 102,000 บาท ทั้งโจทก์มีสิทธิดำเนินงานได้ทุกประการ ในการจัดหาสินค้าเพื่อให้เพียงพอแก่ความต้องการของสมาชิกสำหรับค่าจ้างโจทก์นั้น จำเลยคิดให้ในอัตราร้อยละ 80 ของเงินกำไรสุทธิประจำปีตามข้อบังคับของจำเลยส่วนจำเลยคงได้รับกำไรสุทธิร้อยละ 20 เห็นได้ว่าจำเลยเป็นเพียงหวังได้รับผลกำไรจากการดำเนินงานของโจทก์แต่ฝ่ายเดียวเป็นการตอบแทนโดยจำเลยไม่ต้องเสี่ยงภัยรับผิดและลงทุนประกอบการค้า แต่อาศัยที่จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสมาชิกขึ้นอยู่กับจำเลย จำเลยจึงยินยอมให้โจทก์ใช้นามของจำเลยในการดำเนินกิจการค้า ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการใช้สิทธิเรียกร้องหนี้สินจากสมาชิกของจำเลย โดยจำเลยคงเป็นแต่เพียงควบคุมดูแลการดำเนินการของโจทก์ให้เป็นไปตามข้อสัญญา ระเบียบแบบแผน มติของคณะกรรมการของจำเลยเท่านั้น หากเกิดความเสียหาย โจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้รับผิด จำเลยผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดในการขาดทุนในกิจการค้านั้น คงมีแต่ส่วนได้คือผลกำไรเท่านั้นหากการค้าขาดทุน โจทก์คงเป็นผู้รับผิดฝ่ายเดียว และไม่ได้รับค่าจ้างตอบแทนเลย สินค้าที่โจทก์นำมาเสนอขายในร้านของจำเลยก็เป็นสินค้าของโจทก์เองที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรง เมื่อจำเลยเลิกสัญญาจ้างโจทก์แล้ว เช่นนี้ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิรับคืนสินค้าไปจากจำเลยหรือเรียกเงินค่าสินค้าของโจทก์ที่จำเลยเรียกเก็บจากลูกหนี้ได้แล้วแต่กรณี ความผูกพันระหว่างโจทก์และจำเลยจึงไม่เข้าลักษณะตัวการตัวแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้จัดการร้านค้าชื่อ “ห้างศรีกรุง”จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์เป็นผู้จัดการของจำเลย โดยให้โจทก์จัดหานำสินค้าในร้านโจทก์และร้านค้าอื่นมาจำหน่ายในร้านจำเลยและในนามของจำเลยทั้งเงินสดเงินเชื่อ แล้วจำเลยก็จะนำเงินที่ขายสินค้าได้ชำระแก่โจทก์และร้านค้าอื่นที่โจทก์รับสินค้ามา โจทก์ต้องมอบเงินไว้กับจำเลยไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานและจำเลยต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ เมื่อโจทก์พ้นหน้าที่ตามสัญญาจ้าง โจทก์ได้นำเงินของโจทก์ 102,000 บาทฝากธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยาในนามของจำเลย ซึ่งเงินคงเหลือ 611.34 บาท การจัดนำสินค้ามาจำหน่ายในร้านค้าของจำเลยโจทก์ได้รับชำระเป็นคราว ๆ ในที่สุดมีสินค้าค้างอยู่ที่จำเลยเป็นเงิน 625,467 บาท 50 สตางค์ โจทก์ได้รับราคาสินค้าที่ค้างจากจำเลยแล้ว 123,170.46 บาท กับโจทก์รับสินค้ามาอีกเป็นเงิน 58,839 บาท 95 สตางค์ คิดราคาสินค้าค้างที่จำเลยเป็นเงิน 443,457 บาท 09 สตางค์ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2505 ไม่ยอมให้โจทก์เข้าเกี่ยวข้องและเอาสินค้าคืนตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าสินค้า 443,457.09 บาท และเงินทุนหมุนเวียน 102,000 บาท รวม 545,457.09 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า ได้จ้างโจทก์เป็นผู้จัดการร้านจำเลยจริงเงิน 102,000 บาทไม่ใช่เงินที่โจทก์นำมาลงทุนตามฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงิน 102,000บาทคืน ทั้งโจทก์ไม่ได้นำเงิน 100,000 บาทมาลงทุนตามข้อสัญญา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยจ่ายเงิน611.34 บาทคืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์ฎีกา

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ทำงานในหน้าที่ผู้จัดการจำเลย โดยโจทก์ต้องจัดหาสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆมาจำหน่ายในร้านสหกรณ์จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อสัญญาเป็นที่เห็นได้ชัดว่า การที่โจทก์เข้าดำเนินกิจการค้าของจำเลยนั้น โจทก์ต้องเอาเงินโจทก์ไปลงทุนหมุนเวียนเป็นจำนวนถึง 102,000 บาท ทั้งโจทก์มีสิทธิดำเนินงานได้ทุกประการในการจัดหาสินค้าเพื่อให้เพียงพอแก่ความต้องการของสมาชิก สำหรับค่าจ้างโจทก์นั้น จำเลยคิดให้ในอัตราร้อยละ 80 ของเงินกำไรสุทธิประจำปีตามข้อบังคับของจำเลย ส่วนจำเลยคงได้รับกำไรสุทธิร้อยละ 20 เห็นได้ว่าจำเลยเป็นเพียงหวังได้รับผลกำไรจากการดำเนินงานของโจทก์แต่ฝ่ายเดียวเป็นการตอบแทนโดยจำเลยไม่ต้องเสี่ยงภัยรับผิดและลงทุนประกอบการค้า แต่อาศัยที่จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสมาชิกขึ้นอยู่กับจำเลยจำเลยจึงยินยอมให้โจทก์ใช้นามของจำเลยในการดำเนินกิจการค้า ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการใช้สิทธิเรียกร้องหนี้สินจากสมาชิกของจำเลย โดยจำเลยคงเป็นแต่เพียงควบคุมดูแลการดำเนินการของโจทก์ให้เป็นไปตามข้อสัญญาระเบียบแบบแผนมติของคณะกรรมการของจำเลยเท่านั้น หากเกิดความเสียหายโจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้รับผิด จำเลยผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดในการขาดทุนในกิจการค้านั้น คงมีแต่ส่วนได้คือผลกำไรเท่านั้น หากการค้าขาดทุนโจทก์คงเป็นผู้รับผิดฝ่ายเดียวและไม่ได้รับค่าจ้างตอบแทนเลย สินค้าที่โจทก์นำมาเสนอขายในร้านของจำเลยก็เป็นสินค้าของโจทก์เองที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรง เมื่อจำเลยเลิกสัญญาจ้างโจทก์แล้วเช่นนี้โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิรับคืนสินค้าไปจากจำเลยหรือเรียกเงินค่าสินค้าของโจทก์ที่จำเลยเรียกเก็บจากลูกหนี้ได้ แล้วแต่กรณี ความผูกพันระหว่างโจทก์และจำเลยจึงไม่เข้าลักษณะตัวการตัวแทน

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เก็บเงินจากสมาชิกผู้เป็นลูกหนี้เป็นจำนวน 444,459 บาท 65 สตางค์ จริง ซึ่งจำเลยต้องชำระให้โจทก์ และเงินหมุนเวียนของโจทก์ 102,000 บาทนั้น โจทก์สืบฟังได้ว่าโจทก์นำมาใช้หมุนเวียน ตามสัญญาจ้างจำเลยต้องคืนเงินทุนหมุนเวียนให้โจทก์ ต้องหมายความว่ามีตัวเงินอยู่ครบจำนวนที่จะคืนให้โจทก์ได้ แต่โจทก์ก็ยืนยันอยู่ว่าเงินทุนทั้งหมดเป็นของโจทก์ทั้งสิ้น ฉะนั้น เงินจำนวนนี้ย่อมรวมอยู่ในจำนวนสินค้าและราคาค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระ 444,459.65 บาทที่โจทก์จำเลยรับกันนั้นแล้วซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าจะสั่งคืนเงิน 102,000 บาทให้โจทก์ทั้งหมดหาได้ไม่

คดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ยังคงค้างอยู่กับจำเลยเป็นเงิน 443,457.09 บาท ซึ่งเป็นทุนของสินค้านั้น และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ขายสินค้าของโจทก์และได้รับเงินมาแล้ว 444,459.65 บาท จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องคืนค่าสินค้าที่เป็นทุนจำนวนเงิน 443,457.09 บาทให้โจทก์

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระเงินราคาสินค้าค้างชำระตามจำนวนที่โจทก์ขอ 443,457.09 บาท กับเงินทุนหมุนเวียนที่ยังเหลือ 611.34 บาท รวมสองจำนวนเป็นเงิน 444,068.43 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าว ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share