แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่ผู้ยื่นคำคู่ความจดไว้ในคำคู่ความว่าจะรอฟังคำสั่งไม่รอฟัง ให้ถือว่าได้ทราบคำสั่งนั้น แม้ผู้ยื่นคำร้องมิได้ฟังคำสั่งก็ถือว่าได้ทราบคำสั่งแล้ว
เรื่องการทิ้งฟ้องตาม ม.174 ย่อมนำมาใช้บังคับแก่การทิ้งฟ้องอุทธรณ์ได้ โดยอนุโลมผู้อุทธรณ์ไม่มานำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่าย 1 ภายในกำหนด ที่ศาลสั่งย่อมเป็นการทิ้งฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมสั่งจำหน่ายคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่านายหน้าคืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชะนะคดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งในอุทธรณ์ว่า “รับอุทธรณ์ให้นำส่งสำเนาแก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน” คำสั่งลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๔๘๙ คือวันเดียวกับวันยื่นอุทธรณ์จำเลยไปจัดการนำสำเนาอุทธรณ์เพื่อส่งแก่โจทก์ในวันที่ ๓ กันยายน ๒๔๘๙ ศาลชั้นต้นสั่งว่า เกินกำหนด ๑๕ วันแล้วให้ส่งศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ทนายจำเลยจัดการส่งสำเนาอุทธรณ์เกินกำหนด ๑๕ วัน จึงเป็นการทิ้งฟ้องตาม วิ.แพ่ง ม.๑๗๔ จึงให้จำหน่ายฟ้องอุทธรณ์
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่า จำเลยเถียงว่าจะนำ ม.๑๗๔ มาใช้ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เพราะ ม.๒๔๖ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับโดยอนุโลม ม.๑๗๔(๒) บัญญัติไว้แล้วถ้าโจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว ให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง คดีนี้ศาลกำหนดให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ใน ๑๕ วัน ซึ่งต้องนับ ๑ ในวันรุ่งขึ้น ระยะสิ้นสุดตามคำสั่งก็คือวันที่ ๑ กันยายน จำเลยได้รับรองไว้ว่าจะรอฟังคำสั่งถ้าไม่มาฟังก็ถือว่าทราบแล้ว ย่อมถือว่าคำสั่งนั้นได้ส่งแก่จำเลยโดยชอบแล้ว จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์