คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 860/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องแบ่งแยกที่โดยอ้างว่า เป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษและแบ่งแยกกันปกครองแล้ว ต่อมาได้ตกลงให้บิดาจำเลยลงชื่อในโฉนด แต่ที่ดินก็คงปกครองตามเดิมเป็นเวลากว่า 30 ปี แม้ทางพิจารณาปรากฏว่าบรรพบุรุษฝ่ายโจทก์ตายก่อนหรือหลังบิดาจำเลยลงชื่อในโฉนดก็ไม่เป็นข้อสำคัญ และไม่เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินโฉนดที่ 2218 เป็นของบรรพบุรุษแล้วเป็นมรดกตกทอดมายังโจทก์ จำเลย และได้แบ่งมรดกปกครองเป็นส่วนสัดตลอดมา เมื่อประมาณ 34 ปีมานี้ เจ้าพนักงานไปรังวัด บรรดาญาติพี่น้องตกลงให้บิดาจำเลยลงชื่อในโฉนด ส่วนที่ดินต่างปกครองมาตามเดิม โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ตามที่ปกครองมา และขอแบ่งแยกโฉนด

ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์อาศัย จึงพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ตามเอกสารปรากฏว่านางพลับ (มารดาและทวดโจทก์) ยังมีชีวิตอยู่ขณะนายเพ็ชร (บิดา จำเลย) นำรังวัดที่ดิน (เพื่อออกโฉนด) เป็นการขัดแย้งกับฟ้องและคำพยานโจทก์นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องอ้างกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นมรดกซึ่งต้นตระกูลของฝ่ายโจทก์ได้ปกครองมาแล้ว โจทก์จึงปกครองสืบมา ฉะนั้นนางพลับตายก่อนหรือภายหลังนายเพ็ชร์นำเจ้าพนักงานรังวัด ก็ไม่เป็นข้อสำคัญแห่งฟ้อง และไม่เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดี ส่วนข้อเท็จจริงเห็นชอบด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืน

Share