คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6774/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ร่วมทั้งสองไปที่เกิดเหตุก็เพื่อต้องการขายที่ดินเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะร่วมเล่นการพนันกับจำเลยและพวกมาตั้งแต่ต้น และการที่โจทก์ร่วมทั้งสองยอมมอบเงินให้แก่จำเลยกับพวกไปก็สืบเนื่องมาจากแผนการหรือกลอุบายที่จำเลยกับพวกร่วมกันสร้างเรื่องขึ้นมาโดยพูดจาหว่านล้อมโจทก์ร่วมทั้งสองให้หลงเชื่อ ทั้งยังให้โจทก์ร่วมทั้งสองดื่มกาแฟซึ่งมีอาจมีส่วนผสมของยาที่ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองเกิดอาการมึนงงอีกด้วย เพื่อจะหลอกลวงเอาเงินจากโจทก์ร่วมทั้งสองด้วยวิธีการอันแนบเนียนตามที่ได้วางแผนกันมาก่อน จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมทั้งสองมีเจตนาเข้าร่วมเล่นการพนันกับจำเลยและพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต อันจะเป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด โจทก์ร่วมทั้งสองจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) มีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามมาตรา 2 (7) และมาตรา 120

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 ให้จำเลยคืนเงิน 700,000 แก่ผู้เสียหายที่ 1 และคืนเงิน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางชลีวัลย์ ผู้เสียหายที่ 1 และนายฤทธิ ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนเงิน 700,000 แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และคืนเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 2
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองในประการแรกว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย มีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเริ่มตั้งแต่นางสาวบุญเชิญเข้ามาตีสนิททำทีเป็นติดต่อขอซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วมทั้งสอง จากนั้นจึงชักชวนให้โจทก์ร่วมทั้งสองไปพบกับนายจาตุรันต์กับพวกซึ่งนางสาวบุญเชิญอ้างว่าเป็นผู้ที่จะซื้อที่ดินของโจทก์ร่วมที่ 1 แล้วนางสาวบุญเชิญกับพวกทั้งหมดรวมทั้งจำเลยร่วมกันออกอุบายทำทีเป็นท้ากันเล่นการพนันกำถั่วตามวิธีการเล่นพนันที่จำเลยแสดงให้ดู จากนั้นพูดหว่านล้อมขอยืมเงินจากโจทก์ร่วมทั้งสองให้ร่วมลงทุนเล่นพนันด้วยรวมเป็นเงิน 1,000,000 บาท จนโจทก์ร่วมทั้งสองหลงเชื่อยินยอมมอบเงินให้แล้วทั้งหมดทำทีเป็นแล่นการพนันกันเอาเงินของโจทก์ร่วมทั้งสองไปดังกล่าว โดยโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความในส่วนที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยกับพวกได้สอดคล้องต้องกันปราศจากข้อพิรุธ ทั้งตรงกับคำให้การของโจทก์ร่วมทั้งสองที่เคยให้ไว้แก่พนักงานสอบสวน แม้โจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่าโจทก์ร่วมทั้งสองดื่มกาแฟที่พวกจำเลยชงให้ดื่มจึงมีสติสัมปชัญญะไม่ปกติ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนก็ตาม แต่คดีนี้มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของคนร้ายหลายคน การที่พนักงานสอบสวนไม่ได้บันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ก็อาจเป็นไปได้ว่าโจทก์ร่วมทั้งสองไม่ได้ให้การหรือให้การแล้วแต่พนักงานสอบสวนไม่ได้บันทึกไว้ก็เป็นได้ซึ่งหาได้ทำให้คำเบิกความของโจทก์ร่วมทั้งสองถึงขนาดเป็นพิรุธไม่ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ร่วมทั้งสองไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน ประกอบกับคำเบิกความของโจทก์ร่วมทั้งสองไม่มีพิรุธให้ระแวงสงสัยว่าเบิกความกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยให้ได้รับโทษ จึงเชื่อว่าโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไปตามความจริง ซึ่งเมื่อพิจารณาตามพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่า การที่โจทก์ร่วมทั้งสองไปที่เกิดเหตุก็เพื่อต้องการขายที่ดินเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร่วมเล่นการพนันกับจำเลยและพวกมาตั้งแต่ต้นแต่อย่างใด การที่โจทก์ร่วมทั้งสองยอมมอบเงินให้แก่จำเลยกับพวกไปก็สืบเนื่องมากจากแผนการหรือกลอุบายที่จำเลยกับพวกร่วมกันสร้างเรื่องขึ้นมาโดยพูดจาหว่านล้อมโจทก์ร่วมทั้งสองให้หลงเชื่อ ทั้งยังให้โจทก์ร่วมทั้งสองดื่มกาแฟซึ่งมีอาจมีส่วนผสมของยาที่ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองเกิดอาการมึนงงอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อจะหลอกลวงเอาเงินจากโจทก์ร่วมทั้งสองด้วยวิธีการอันแนบเนียนตามที่ได้วางแผนกันมาก่อนแล้ว โดยที่โจทก์ร่วมทั้งสองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายสร้างเรื่องให้เกิดการเล่นพนันกันขึ้นแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมทั้งสองมีเจตนาเข้าร่วมเล่นการพนันกับจำเลยและพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต อันจะเป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด โจทก์ร่วมทั้งสองจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองประการสุดท้ายว่า จำเลยกับพวกกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเฉพาะในเรื่องการเล่นการพนันในวันเกิดเหตุก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์ที่นางสาวบุญเชิญไปทำทีติดต่อขอซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วมทั้งสองแล้วชักนำโจทก์ร่วมทั้งสองไปที่บ้านอิงเกสต์เฮาส์เพื่อหลอกลวงเอาเงินโจทก์ร่วมทั้งสองตามที่ได้ร่วมกันวางแผนไว้ล่วงหน้าจากนั้นจำเลยกับพวกทำทีขอยืมเงินจากโจทก์ร่วมทั้งสองมาเล่นการพนัน โดยพูดจาหว่านล้อมโจทก์ร่วมทั้งสองให้หลงเชื่อว่าจะได้เงินจากการเล่นการพนัน ทั้งยังจะคืนเงินที่ยืมจากโจทก์ร่วมทั้งสอง พร้อมกับจะได้เงินจากการขายที่ดิน จนโจทก์ร่วมทั้งสองหลงเชื่อยอมมอบเงินให้จำเลยกับพวกไปแล้วจำเลยกับพวกสบคมกันเล่นการพนันโดยการแกล้งเล่นพนันแพ้ทำให้จำเลยกับพวกได้เงินของโจทก์ร่วมทั้งสองไป 1,000,000 บาท ซึ่งพฤติการณ์ทั้งหมดดังกล่าวหากจำเลยกับพวกไม่ได้ร่วมกันวางแผนเป็นขั้นตอนและแบ่งหน้าที่กันทำมาก่อน โจทก์ร่วมทั้งสองคงจะไม่หลงเชื่อจำเลยกับพวกและสูญเสียเงินไปจำนวนมากเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังเกิดเหตุโจทก์ร่วมทั้งสองก็ไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อจำเลยกับพวกได้อีกเลยซึ่งยิ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับนางสาวบุญเชิญ นางสาวณัฐมน นางสาวอ้อ และนายจตุรันต์หลอกลวงโจทก์ร่วมทั้งสองมาตั้งแต่ต้น ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้ร่วมกับพวกฉ้อโกงโจทก์ร่วมทั้งสอง เพียงแต่ในวันเกิดเหตุนางสาวบุญเชิญโทรศัพท์ไปเรียกให้จำเลยมาจัดทำบัญชีเพื่อเก็บเงินค่าต๋ง เมื่อมาถึงนางสาวบุญเชิญให้จำเลยกำหนดกติกาการเล่นการพนันกำถั่วแล้วสอนกลโกงให้นั้นจึงฟังไม่ขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองที่นำสืบมารับฟังได้มั่นคงว่า จำเลยกับพวกร่วมกับฉ้อโกงโจทก์ร่วมทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share