แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสองมิใช่หมายความว่า เพียงแต่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ยังมีทรัพย์สินอื่นให้ผู้ร้องเรียกหรือบังคับเอาได้แล้ว ก็ต้องห้ามมิให้เฉลี่ย หากแต่หมายความถึงกรณีที่ทรัพย์สินอื่นๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องมีอยู่เพียงพอที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา คือผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จะสามารถเอาชำระได้ด้วยจึงจะต้องห้ามมิให้ขอเฉลี่ยทรัพย์ซึ่งยึดขายในคดีอื่น
ย่อยาว
ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยออกคำบังคับและยึดทรัพย์จำเลยขายเพื่อใช้หนี้โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาอีกคดีหนึ่ง ได้ยึดทรัพย์จำเลยขายทอดตลาดแล้วยังได้รับชำระหนี้ไม่ครบ ขาดอยู่อีก 77,270 บาท 83 สตางค์พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยยังมีที่ดินอีกหลายแปลงพอที่ผู้ร้องจะยึดมาขายใช้หนี้ได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ย
ศาลชั้นต้นเรียกเอกสารจากเจ้าพนักงานที่ดินและนัดพร้อมสอบถามฝ่ายผู้ร้องและโจทก์แล้ว เห็นว่าคดีพอจะสั่งคำร้องของผู้ร้องได้แล้วไม่จำเป็นต้องไต่สวน จึงให้งดสืบพยานของผู้ร้องและโจทก์ แล้วมีคำสั่งว่า จำเลยยังมีที่ดินอยู่อีก 5 แปลงซึ่งผู้ร้องมีสิทธิที่จะยึดที่ดินของจำเลยทั้ง 5 แปลงนี้เพื่อขายทอดตลาดได้อยู่ผู้ร้องไม่มีสิทธิมาขอเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีนี้ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ดินทั้ง 5 แปลงนั้น ผู้ร้องโต้เถียงว่าเป็นบึง ไม่มีราคาจะขายได้ 4 แปลง อีก 2 แปลง ก็ยังติดการอายัดด้วย ส่วนอีกแปลงหนึ่งติดการจำนองอยู่ เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฎว่าผู้ร้องจะสามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินเหล่านี้หรือไม่แล้ว ศาลจะด่วนงดการไต่สวน ไม่ฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนยังไม่ชอบ จึงพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนแล้วสั่งต่อไปตามกระบวนความ
โจทก์ฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290วรรค 2 ศาลจะอนุญาตให้เจ้าหนี้รายอื่นทำการขอเฉลี่ยหนี้ได้ก็ต่อเมื่อผู้ยื่นคำขอไม่สามารถจะเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องก็ยอมรับอยู่แล้วในข้อเท็จจริงว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมีทรัพย์สินอยู่อีก คือ โฉนดที่ดิน 5 แปลงซึ่งแสดงว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมีทรัพย์สินอื่นให้ผู้ร้องเรียกหรือบังคับชำระเอาได้ จึงต้องห้ามมิให้เฉลี่ยหนี้ตามกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรค 2 ซึ่งมีความว่า “ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเช่นว่ามานี้เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำขอไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา” นั้น มิใช่หมายความแต่เพียงว่า ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ยังมีทรัพย์สินอื่นให้ผู้ร้องเรียกหรือบังคับเอาได้แล้ว ก็ต้องห้ามมิให้เฉลี่ยดังที่โจทก์ฎีกานั้นก็หาไม่ ทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องมีอยู่เพียงพอที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา คือ ผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จะสามารถเอาชำระได้ด้วย จึงจะต้องห้ามมิให้ขอเฉลี่ยทรัพย์ซึ่งยึดขายในคดีอื่น
คดีนี้ปรากฏจากข้อเท็จจริงที่ได้ความมา และที่คู่ความแถลงต่อศาลว่า กรณียังไม่แน่นอนว่าทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องขอเฉลี่ยเป็นโจทก์นั้น จะสามารถเอามาชำระหนี้ของผู้ร้องขอเฉลี่ยได้หรือไม่ฉะนั้น จึงสมควรไต่สวนพยานหลักฐานให้ได้ความแน่นอนเสียก่อนจึงวินิจฉัยสั่ง พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์