คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรค 2 มิใช่หมายความว่า เพียงแต่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ยังมีทรัพย์สินอื่นให้ผู้ร้องเรียกหรือบังคับเอาได้แล้ว ก็ต้องห้ามมิให้เฉลี่ย หากแต่หมายความถึงกรณีที่ทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องมีอยู่เพียงพอที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา คือผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จะสามารถเอาชำระได้ด้วย จึงจะต้องห้ามมิให้ขอเฉลี่ยทรัพย์ซึ่งยึดขายในคดีอื่น

ย่อยาว

ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยออกคำบังคับและยึดทรัพย์จำเลยขายเพื่อใช้หนี้โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาอีกคดีหนึ่ง ได้ยึดทรัพย์จำเลยขายทอดตลาดแล้วยังได้รับชำระหนี้ไม่ครบ ขาดอยู่อีก ๗๗,๒๗๐ บาท ๘๓ สตางค์ พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยยังมีที่ดินอีกหลายแปลงพอที่ผู้ร้องจะยึดมาขายใช้หนี้ได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ย
ศาลชั้นต้นเรียกเอกสารจากเจ้าพนักงานที่ดินและนัดพร้อมสอบถามฝ่ายผู้ร้องและโจทก์แล้ว เห็นว่าคดีพอจะสั่งคำร้องของผู้ร้องได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไต่สวน จึงให้งดสืบพยาน ของผู้ร้องและโจทก์ แล้วมีคำสั่งว่า จำเลยยังมีที่ดินอยู่อีก ๕ แปลง ซึ่งผู้ร้องมีสิทธิที่จะยึดที่ดินของจำเลยทั้ง ๕ แปลงนี้ เพื่อขายทอดตลาดได้อยู่ ผู้ร้องไม่มีสิทธิมาขอเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีนี้ ให้ยกคำร้องขอผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ดินทั้ง ๕ แปลงนั้น ผู้ร้องโต้เถียงว่าเป็นบึง ไม่มีราคาจะขายได้ ๔ แปลง อีก ๒ แปลง ก็ยังติดการอายัดด้วย ส่วนอีกแปลงหนึ่งติดการจำนองอยู่ เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าผู้ร้องจะสามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินเหล่านี้หรือไม่แล้ว ศาลจะด่วนงดการไต่สวน ไม่ฟังข้อเท็จจริงเสียก่อน ยังไม่ชอบ จึงพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนแล้วสั่งต่อไปตามกระบวนความ
โจทก์ฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรค ๒ ศาลจะอนุญาตให้เจ้าหน้ารายอื่นทำการขอเฉลี่ยหนี้ได้ก็ต่อเมื่อผู้ยื่นคำขอไม่สามารถจะเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องก็ยอมรับอยู่แล้วในข้อเท็จจริงว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมีทรัพย์สินอยู่อีก คือ โฉนดที่ดิน ๕ แปลง ซึ่งแสดงว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมีทรัพย์สินอื่นให้ผู้ร้องเรียกหรือบังคับชำระเอาได้ จึงต้องห้ามมิให้เฉลี่ยหนี้ตามกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรค ๒ ซึ่งมีความว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเช่นว่ามานี้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำขอไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา นั้น มิใช่หมายความว่า เพียงแต่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ยังมีทรัพย์สินอื่นให้ผู้ร้องเรียกหรือบังคับเอาได้แล้ว ก็ต้องห้ามมิให้เฉลี่ยดังที่โจทก์ฎีกานั้นก็หาไม่ ทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องมีอยู่เพียงพอที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา คือผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จะสามารถเอาชำระได้ด้วย จึงจะต้องห้ามมิให้ขอเฉลี่ยทรัพย์ซึ่งยึดขายในคดีอื่น
คดีนี้ปรากฏจากข้อเท็จจริงที่ได้ความมา และที่คู่ความแถลงต่อศาลว่า กรณียังไม่แน่นอนว่าทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องขอเฉลี่ยเป็นโจทก์นั้น จะสามารถเอามาชำระหนี้ของผู้ร้องขอเฉลี่ยได้หรือไม่ ฉะนั้น จึงสมควรไต่สวนพยานหลักฐานให้ได้ความแน่นอนเสียก่อนจึงวินิจฉัยสั่ง พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share