คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ละเมิดสิทธิของจำเลยเสียหายเป็นเงิน 40,000 บาท ตลอดจนเสียค่าขึ้นศาลโดยครบถ้วน แต่ในคำขอบังคับคดีท้ายฟ้องแย้งรวม 5 ข้อของจำเลยนั้น มิได้มีข้อใดเลยที่ขอให้ศาลพิพากษาบังคับคดีให้โจทก์ใช้เงินค่าเสียหายให้แก่จำเลย จึงไม่เป็นคำฟ้องที่ต้องบริบูรณ์ตามกฎหมาย
แม้ในคำขอท้ายฟ้องแย้งข้อ 1 ตอนท้ายจำเลยขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์แก้วันที่ในเช็คเป็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2518 แต่ก็เป็นคำขอที่สืบเนื่องจากคำขอในข้อ 1 ตอนต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจักต้องหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามคำให้การของจำเลยอยู่แล้ว ถ้าหากศาลวินิจฉัยให้ตามคำขอในข้อ 1ตอนต้นว่า เช็คฉบับพิพาทมิได้ออกหรือลงวันที่ 2 มกราคม 2521 ดังฟ้องแต่เป็ยเช็คที่ต้องลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2518 ก็ไม่ต้องมีการบังคับให้โจทก์แก้วันที่ในเช็คอีก เพราะจำเลยย่อมได้รับผลแห่งคำพิพากษาอยู่แล้ว หาใช่เป็นเรื่องที่ต้องฟ้องแย้งมาในคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 40,750 บาท

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยออกเช็คมอบให้นางจุรีวรรณเพื่อเป็นการประกันการลงทุนทำการค้าร่วมกัน ไม่ได้ลงวันที่ในเช็ค เมื่อเลิกกิจการค้าเช็คยังอยู่ในความครอบครองของนางจุรีวรรณ นางจุรีวรรณไม่มีสิทธิสลักหลังเช็คให้โจทก์ การที่ได้มีการลงวันที่ออกเช็คไม่ตรงตามวันที่แท้จริง เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คไม่สุจริต คดีขาดอายุความ ทำให้จำเลยเสียหาย 40,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยดังนี้

(1) พิพากษาว่า เช็คฉบับดังกล่าวไม่ได้ออกหรือลงวันที่ 2 มกราคม2521 แต่เป็นเช็คที่จำเลยออกโดยลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2518 และให้โจทก์แก้วันที่ในเช็คเป็น วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2518 ถ้าไม่แก้ให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา

(2) โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง

(3) คดีขาดอายุความ

(4) พิพากษายกฟ้องโจทก์

(5) ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความแทนจำเลย

ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การและสั่งยกฟ้องแย้ง คือค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกฟ้องแย้ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นสั่งในเรื่องฟ้องแย้งว่าไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมให้ยกเสีย แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทั้งโจทก์และจำเลยอาศัยเช็คฉบับเดียวกันเป็นหลักแห่งข้อหาและเกี่ยวเนื่องกันจึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม แล้วศาลอุทธรณ์ได้ขยายความต่อไปว่า แม้จำเลยจะฟ้องแย้งหาว่าโจทก์ทำละเมิดต่อจำเลย แต่จำเลยก็หาได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ไม่ เพราะคำขอท้ายฟ้องแย้งของจำเลยทุกข้อไม่มีลักษณะเป็นคำขอบังคับไว้เลย เมื่อคำขอท้ายฟ้องแย้งไม่มีคำขอบังคับ คำฟ้องแย้งดังกล่าวก็ไม่เป็นคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง และไม่เป็นคำฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งของคำให้การของจำเลยเท่านั้น จากคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวหมายความว่า แม้จำเลยจะให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ละเมิดสิทธิของจำเลยเสียหายเป็นเงิน 40,000 บาท ตลอดจนเสียค่าขึ้นศาลโดยครบถ้วนก็จริงอยู่แต่ในคำขอบังคับท้ายฟ้องแย้งรวม 5 ข้อของจำเลยนั้น มิได้มีข้อใดเลยที่ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้โจทก์ใช้เงินค่าเสียหายให้แก่จำเลย จึงไม่เป็นคำฟ้องที่ถูกต้องบริบูรณ์ตามบทกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ได้กล่าวมา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในเรื่องนี้ชอบแล้ว

จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่า คำขอท้ายฟ้องแย้งของจำเลยมีลักษณะเป็นการบังคับอย่างชัดแจ้ง เพราะโจทก์เป็นผู้ใช้สิทธิลงวันเดือนปีในเช็คแต่การที่จะขอแก้วันเดือนปีเป็นอย่างอื่นให้ถูกต้องนั้น จำเป็นต้องใช้อำนาจศาลบังคับ จำเลยไม่มีอำนาจเข้าแก้ไขเปลี่ยนแปลงวันเดือนปีในเช็คโดยพลการได้ความข้อนี้เห็นว่า แม้ในคำขอท้ายฟ้องแย้งข้อ 1 ตอนท้ายจำเลยขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์แก้วันที่ในเช็คเป็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2518 แต่ก็เป็นคำขอที่สืบเนื่องมาจากคำขอในข้อ 1 ตอนต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจักต้องหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามคำให้การของจำเลยอยู่แล้ว ถ้าหากศาลวินิจฉัยให้ตามคำขอในข้อ 1 ตอนต้นว่าเช็คฉบับพิพาทมิได้ออกหรือลงวันที่ 2 มกราคม 2521ดังฟ้อง แต่เป็นเช็คที่ต้องลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2518 ดังคำให้การของจำเลยก็ไม่จำต้องมีการบังคับให้โจทก์แก้วันที่ในเช็คเป็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2518อีก เพราะจำเลยย่อมจะได้รับผลแห่งคำพิพากษาอยู่แล้ว หาใช่เป็นเรื่องที่ต้องฟ้องแย้งมาในคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม ไม่

พิพากษายืน

Share