คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลฎีกาพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามกับจำเลยมีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่ดินพิพาทและให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสาม หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยตามส่วน ซึ่งต่อมาการแบ่งแยกที่ดินไม่อาจทำได้ โจทก์ทั้งสามในฐานะผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยตามส่วนดังกล่าว ซึ่งการยึดทรัพย์กรณีนี้มิใช่การร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้มีสิทธิร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคสอง ผู้ร้องทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 68 หมู่ที่ 5 ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวชจังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่โจทก์ทั้งสามจำนวน 2 ไร่ 47 ตารางวา หากจำเลยไม่ยอมแบ่งแยกให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามตามส่วน จำเลยไม่ยอมแบ่งแยกไม่อาจกระทำได้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 68 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามตามส่วน

ผู้ร้องทั้งห้ายื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งห้ามีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 68 ทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสามนำยึดไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์ทั้งสามให้การว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 68 ที่โจทก์ทั้งสามนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามตามส่วนนั้น โจทก์ทั้งสามมีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลย ผู้ร้องทั้งห้ามิได้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ดังกล่าว ขอให้ยกคำร้องขอ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดไต่สวน และพิพากษายกคำร้องขอ

ผู้ร้องทั้งห้าอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

ผู้ร้องทั้งห้าฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาว่าโจทก์ทั้งสามและจำเลยมีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่ดินพิพาทและพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามจำนวน 2 ไร่ 47 ตารางวา หากจำเลยไม่ยอมแบ่งแยกให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามตามส่วน ต่อมาการแบ่งแยกที่ดินพิพาทไม่อาจทำได้ โจทก์ทั้งสามจึงยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและนำยึดที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 68 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน ผู้ร้องทั้งห้ายื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งห้าว่า ผู้ร้องทั้งห้ามีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดไต่สวนคำร้องขอของผู้ร้องขอทั้งห้าชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสามในฐานะผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยตามส่วน การยึดทรัพย์ในกรณีนี้มิใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หากแต่เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้มีสิทธิร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคสอง ผู้ร้องทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 และคดีไม่จำต้องไต่สวนคำร้องขอของผู้ร้องทั้งห้า คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องทั้งห้าฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share