แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่ารถยนต์จากโจทก์เพื่อใช้เป็นรถยนต์แท็กซี่ขับรับจ้างแล้วเบียดบังยักยอกเอารถยนต์คันนั้นไปโดยเจตนาทุจริต แล้วนำความเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่ารถยนต์คันนั้นถูกคนร้ายชิงไป ดังนี้ โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงในความผิดฐานแจ้งความเท็จ จึงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จไม่ได้
ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้องนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีการอุทธรณ์ในข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ก็อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เช่าซื้อรถยนต์เก๋งคันหนึ่งจากบริษัทสยามกลการ จำกัด มาใช้เป็นรถยนต์แท็กซี่ให้จำเลยเช่าขับรับจ้างจำเลยเบียดบังยักยอกเอารถยนต์ที่เช่าไปเป็นของผู้อื่นโดยเจตนาทุจริตแล้วนำความเท็จแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่ารถยนต์ที่จำเลยเช่าจากโจทก์ถูกคนร้ายชิงไป โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๓๕๒
จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยถูกคนร้ายชิงทรัพย์ และแจ้งความไว้ต่อพนักงานสอบสวนเป็นความจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๒ จำคุก ๙ เดือน และฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา ๑๓๗จำคุก ๖ เดือน ลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ๖ เดือน รวม ๒ กระทงหนึ่งปี
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เป็นราษฎรไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานแจ้งความเท็จพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานแจ้งความเท็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์จะยกข้อกฎหมายนี้ขึ้นอ้างเพื่อยกฟ้องโจทก์ไม่ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเช่ารถยนต์ซึ่งโจทก์เช่าซื้อมานั้นไปจากโจทก์เพื่อขับรับจ้าง ต่อมาจำเลยได้เบียดบังยักยอกเอารถยนต์คันนั้นไป แล้วจำเลยได้นำความเท็จไปแจ้งแก่พนักงานสอบสวนว่า มีชาย ๒ คนจับจำเลยมัดไว้แล้วขับรถยนต์คันนั้นไป สารสำคัญที่โจทก์ฟ้องข้อนี้มีว่า จำเลยรู้ว่ามิได้มีคนร้ายชิงเอารถยนต์แท็กซี่ที่จำเลยขับไป แต่จำเลยนำความไปแจ้งแก่พนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายชิงเอารถยนต์แท็กซี่ที่จำเลยขับไป เห็นว่าการที่จำเลยแจ้งความเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่ามีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้นตามกรณีนี้ พนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งเป็นผู้เสียหาย โจทก์มิใช่ผู้เสียหายโดยตรง ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย และอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๕ วรรคท้าย
พิพากษายืน