แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เดิมเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 ขุดลำรางพิพาทผ่านที่ดินเพื่อนำน้ำจากคลองสาธารณประโยชน์มาใช้ในที่ดินมาประมาณ 40 ปี ต่อมาที่ดินตกเป็นของโจทก์กับจำเลยและบุคคลอื่นอีกหลายคนเป็นเจ้าของรวมกัน กับได้แบ่งแยกที่ดินเป็นของเจ้าของแต่ละคนลำรางจึงถูกแบ่งออกเป็นส่วนตามที่ดินที่ถูกแบ่งแยก เมื่อเจ้าของรวมในที่ดินมิได้มีข้อตกลงหรือจดทะเบียนให้ลำรางดังกล่าวเป็นลำรางที่ตกอยู่ในภาระจำยอมขณะมีการแบ่งแยกโฉนด จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ลำรางส่วนที่อยู่ในที่ดินของจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะถมดินกลบลำรางพิพาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336
เมื่อลำรางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์การที่โจทก์ขอให้จำเลยเปิดลำรางพิพาทย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์ฝ่ายเดียวโดยจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินลำรางพิพาทเป็นฝ่ายเสียประโยชน์จากการใช้ที่ดินของตน การที่จำเลยถมดินกลบลำรางพิพาทจึงมิใช่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 421
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยเปิดลำรางตามฟ้อง หากจำเลยไม่ดำเนินการให้โจทก์จัดการเปิดลำรางโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมที่ดินของจำเลยสำหรับลำรางดังกล่าว กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถทำนาข้าวและนาผักบุ้งปีละ 60,000 บาท จนกว่าจำเลยจะเปิดลำรางตามฟ้อง
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดลำรางพิพาทตามรูปแผนที่ท้ายฟ้อง โดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายเอง หากไม่ดำเนินการให้โจทก์จัดหาบุคคลอื่นดำเนินการโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมด และให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 ธันวาคม 2542) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่า หากจำเลยไม่เปิดลำรางพิพาทให้โจทก์จัดหาบุคคลอื่นเป็นผู้ขุดลำรางพิพาทโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมด ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 4,150 บาท ให้แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามที่โจทก์และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังได้ว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 ตำบลบางคูรัด อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ประมาณ 193 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 มีโจทก์กับจำเลยและบุคคลอื่นอีกหลายคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2540 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินแปลงดังกล่าว ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2959/2538 ของศาลชั้นต้น วันที่ 22 สิงหาคม 2543 เจ้าพนักงานที่ดินได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมโดยออกโฉนดที่ดินเลขที่ 133926 เลขที่ดิน 9294 ให้แก่โจทก์ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4 และออกโฉนดที่ดินเลขที่ 133927 เลขที่ดิน 9295 ให้แก่โจทก์กับพวกรวม 4 คน ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 มีลำรางที่ขุดขึ้นเพื่อส่งน้ำจากคลองสาธารณประโยชน์จากทางด้านทิศเหนือมาทางทิศใต้ โจทก์กับจำเลยและผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าวสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำในลำรางที่ผ่านที่ดินที่ตนครอบครองอยู่หลังจากแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ 2 แปลง ทำให้ลำรางส่งน้ำบางส่วนอยู่ในที่ดินของจำเลยและบางส่วนอยู่ในที่ดินของโจทก์ โดยน้ำจากคลองสาธารณประโยชน์จะต้องผ่านลำรางในที่ดินของจำเลยก่อนจึงจะมาถึงลำรางในที่ดินของโจทก์วันที่ 17 สิงหาคม 2542 จำเลยได้ถมดินกลบลำรางส่งน้ำในที่ดินของจำเลย ซึ่งเป็นลำรางพิพาทระยะทางยาวประมาณ 45 เมตร ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 (เอกสารหมาย จ.5) ทำให้น้ำจากคลองสาธารณประโยชน์ไม่สามารถไหลผ่านเข้าไปถึงลำรางในที่ดินของโจทก์ได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการต่อไปว่า จำเลยมีสิทธิถมดินกลบลำรางพิพาทหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นางบุญยังและนายวันเพ็ญเป็นพยานเบิกความได้ความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 ตามเอกสารหมาย จ.1 เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมได้ขุดลำรางตัดผ่านเพื่อนำน้ำจากคลองสาธารณประโยชน์มาใช้ตามแผนที่สังเขปที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 เอกสารหมาย จ.2 ลำรางส่งน้ำนี้มีมานานประมาณ 40 ปีแล้ว โจทก์กับจำเลยและบุคคลอื่นอีกหลายคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์ใช้น้ำจากลำรางดังกล่าวโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านต่อมานายชมได้ฟ้องเจ้าของรวมให้แบ่งแยกเขตที่ดิน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมตามสำนวนคดีเอกสารหมาย จ.8 วันที่ 17 สิงหาคม 2542 จำเลยได้ถมดินกลบลำรางพิพาทในที่ดินของจำเลยทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้น้ำจากลำรางเพื่อทำนา ปลูกผักบุ้ง และเลี้ยงปลาได้ ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยนายสำรวมและนางวรรณาซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 ด้วย เป็นพยานเบิกความได้ความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 เดิมมีผู้ครอบครองเป็นเจ้าของประมาณสิบกว่าคนซึ่งเป็นญาติพี่น้องกัน ต่อมามีการฟ้องร้องแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ ศาลตัดสินให้แบ่งที่ดินตามสัดส่วนที่ครอบครอง หลังจากแบ่งแยกกันแล้ว ที่ดินทิศเหนือเป็นของนางบุญยัง ที่ดินของจำเลยอยู่ตรงกลางและทิศใต้เป็นที่ดินของโจทก์น้ำจากคลองนายบาง (คลองสาธารณประโยชน์) ต้นทางของลำรางอยู่ในที่ดินของนางบุญยัง ลงมายังที่ดินของจำเลยจึงมาสู่ที่ดินของโจทก์ นางบุญยังไม่ยอมให้จำเลยใช้น้ำ จำเลยจึงต้องขุดลำรางขึ้นมาใหม่ตามภาพถ่ายหมาย ล.2 ลำรางที่ขุดขึ้นใหม่อ้อมไปถึงที่ดินของโจทก์หากสูบน้ำมาจากคลองนายบางโจทก์ก็สามารถใช้น้ำได้ด้วย จำเลยถมดินกลบลำรางเดิมโดยต้องการให้ที่ดินของจำเลยเป็นผืนเดียวกันเพราะเดิมรถเกี่ยวข้าวต้องข้ามลำรางเดิมทำให้ไปมาไม่สะดวก จำเลยไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ เห็นว่า ลำรางที่ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 เดิมเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวได้ขุดขึ้นเมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว เพื่อนำน้ำจากคลองสาธารณประโยชน์มาใช้ในที่ดิน ดังนั้น ลำรางดังกล่าวจึงเป็นลำรางส่วนบุคคลมิใช่ลำรางสาธารณประโยชน์ ต่อมาที่ดินได้ตกมาเป็นของโจทก์กับจำเลยและบุคคลอื่นอีกหลายคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกัน เมื่อมีการแบ่งแยกที่ดินตามคำพิพากษาอุทธรณ์ภาค 2 ลำรางจึงถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วนตามที่ดินที่ถูกแบ่งแยก เมื่อเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5638 มิได้มีข้อตกลงหรือจดทะเบียนให้ลำรางดังกล่าวเป็นลำรางที่ตกอยู่ในภาระจำยอมในขณะที่มีการแบ่งแยกโฉนด ดังนั้น จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ลำรางส่วนที่อยู่ในที่ดินของตนเมื่อเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำจากลำรางพิพาทเพราะได้ขุดลำรางขึ้นใหม่แล้ว ทั้งลำรางพิพาทยังทำให้ที่ดินของจำเลยถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน ทำให้รถไถนาผ่านไปมาไม่สะดวก จำเลยย่อมมีสิทธิที่ถมดินกลบลำรางพิพาทได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า โจทก์สามารถใช้น้ำจากลำรางที่จำเลยขุดขึ้นใหม่ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยเคยเสนอให้โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลยที่ลำรางใหม่ผ่าน โจทก์ไม่มีเงินจึงไม่ตกลง เห็นได้ว่า เมื่อลำรางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ การที่โจทก์ขอให้จำเลยเปิดลำรางพิพาทย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์ฝ่ายเดียวโดยจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินลำรางพิพาทเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ในการใช้ที่ดินของตน จำเลยเคยเสนอให้โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลยที่ลำรางใหม่ผ่านแต่โจทก์กลับไม่ตกลงซึ่งหากโจทก์เห็นว่าจำเลยเรียกค่าทดแทนเกินสมควรโจทก์ย่อมใช้สิทธิดำเนินการแก่จำเลยตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1352 ได้ แต่โจทก์กลับอ้างเพียงว่าไม่มีเงิน ดังนั้น การที่จำเลยถมดินกลบลำรางพิพาท จึงมิใช่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์อันจะถือว่าเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ