แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับ ม. มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่ขณะที่ซื้อขายกันที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินมือเปล่า ม. จึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อ ม. ส่งมอบที่ดินพิพาทและโจทก์เข้าครอบครองแล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตามมาตรา 1377 และ 1378 อันเป็นการได้สิทธิครอบครองมาด้วยการครอบครองตามกฎหมาย มิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขาย ม. ย่อมไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ม. ให้ดำเนินการเพิกถอนชื่อ ม. ออกจากโฉนดที่ดินพิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 16552 จำเลยทั้งสองเป็นทายาทของนายมา ชาดี ผู้ที่มีชื่อในโฉนดที่ดินร่วมกับโจทก์ นายมาซึ่งถึงแก่ความตายไปนานแล้ว มิใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง เดิมที่ดินพิพาทมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 416 มีชื่อโจทก์และนายมาเป็นผู้ถือครอบครองโดยออกตาม ส.ค. 1 เลขที่ 146 ซึ่งมีชื่อนางฟอง ชาดี เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ หลังจากนางฟองถึงแก่ความตายนายมาผู้เป็นสามีได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อมา จนกระทั่งปี 2519 นายมาได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์และครอบครัวได้ร่วมกันเข้าครอบครองทำประโยชน์มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 25 ปี จำเลยทั้งสองผู้เป็นทายาทของนางฟองและนายมา รวมทั้งทายาทคนอื่น ๆ ไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยว จนกระทั่งปลายปี 2543 จำเลยที่ 1 ได้ทวงสิทธิเรียกร้องที่ดินพิพาทคืนอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวจำเลยทั้งสองให้ไปทำการเพิกถอนชื่อนายมาออกจากโฉนดที่ดินพิพาทแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันไปดำเนินการเพิกถอนชื่อนายมาออกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 16552 ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี หากจำเลยทั้งสองไม่ไปดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองไม่ได้แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 146 ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อนางฟอง ชาดี เป็นเจ้าของ หลังจากนางฟองถึงแก่ความตายนายมา ชาดี ซึ่งเป็นสามีได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ และทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2519 ตามเอกสารหมาย จ.5 โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่คงส่งมอบการครอบครองให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเท่านั้นต่อมาวันที่ 13 สิงหาคม 2519 ทางราชการได้ออกเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินพิพาทเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 416 ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อโจทก์และนายมาเป็นเจ้าของร่วมกัน หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี นายมาถึงแก่ความตาย ต่อมาที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 16552 ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อโจทก์และนายมาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของนายมาให้ดำเนินการเพิกถอนชื่อนายมาออกจากโฉนดที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า แม้การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนายมาจะไม่ชอบเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่งก็ตาม แต่ขณะที่ซื้อขายกันที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินมือเปล่า นายมาจึงมีเพียงสิทธิครอบครองแล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และ 1378 อันเป็นการได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาด้วยการครอบครองตามกฎหมาย มิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขาย นายมาย่อมไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของนายมาให้ดำเนินการเพิกถอนชื่อนายมาออกจากโฉนดที่ดินพิพาท ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน จำเลยทั้งสองไม่ได้แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.