แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นำความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวโทษว่า เขาลักตัดยางและเอาไฟเผาสวนยางด้วย โดยความจริงเขามิได้กระทำผิดังข้อหานั้นเลย ดังนี้แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะมิได้จดข้อความที่แจ้งความนั้นไว้ในสมุดลงประจำวัน ผู้แจ้งก็มีความผิดฐานแจ้งความเท็จร้องเรียนเท็จตาม ก.ม. ลักษณะอาญา ม.158 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จไปร้องเรียนกล่าวโทษโจทก์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าโจทก์ลักตัดบางและเผาสวนยางของจำเลยเสียหายและจำเลยนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับโจทก์มาควบคุมไว้หลายชั่วโมงทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพ ความจริงจำเลยไม่มีสวนยางโจทก์ไม่ได้เผาสวนยางดังจำเลยร้องเรียน ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลจังหวัดสงขลาเห็นว่าที่จำเลยแจ้งกล่าวหาโจทก์นี้มิได้จดแจ้งความลงประจำวันเป็นทำนองจำเลยมาสอบถามเรื่องเดิมการที่เจ้าหน้าที่เอาตัวโจทก์มาเป็นเรื่องอยู่ในอำนาจของตำรวจจะพิจารณา จำเลยไม่ผิด พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อจำเลยได้ร้องเรียนเท็จฯจนเจ้าพนักงานต้องไปจับโจทก์มาแม้จะมิได้ลงประจำวันไว้ก็นับว่าจำเลยได้กระทำผิดแล้ว จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีผิดตาม ก.ม. อาญา ม.๑๕๘ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้จำคุก ๔ เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเถียงของจำเลยที่ว่าเจ้าพนักงานตำรวจมิได้มีการลงประจำวันไว้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แจ้งความดังนั้น เป็นข้อเถียงที่ฟังไม่ได้ ต้องสุดแล้วแต่ข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป แต่ผู้กระทำผิดได้ร้องเรียนเท็จต่อเจ้าพนักงานโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จจริงหรือไม่ โดยไม่จำเป็นว่าเจ้าพนักงานจำต้องจดแจ้งไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเสมอไป เพราะขณะที่แจ้งความเท็จนั้นเป็นความผิดตาม ก.ม.แล้ว จึงพิพากษายืน