แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ความผิดฐานฉ้อโกงต้องปรากฎว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตอันเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยแต่หาจำต้องระบุคำว่ามีเจตนาทุจริตลงในคำฟ้องโดยตรงเสมอไปไม่เมื่อในคำฟ้องโจทก์ระบุว่าจำเลยทั้งสองบังอาจร่วมกันกล่าวข้อความอันเป็นเท็จก็บ่งว่าจำเลยทั้งสองทำโดยทุจริตอยู่ในตัวแล้วและยังได้บรรยายฟ้องต่อไปว่าได้บังอาจหลอกลวงผู้เสียหายอีกจึงเป็นคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมหรือใช้ให้ผู้อื่นปลอมหนังสือมอบอำนาจแม้จะได้ความอย่างใดอย่างหนึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสองก็เป็นความผิดแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 264, 268, 341 และให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้เงินจำนวน 975,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 268, 341 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341จำคุก 2 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงิน 975,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264และมาตรา 341 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่กฎหมายทั้งสองบทมีโทษเท่ากันให้ลงโทษตามมาตรา 341 ให้ยกฟ้องฐานปลอมเอกสาร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่โจทก์ จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินน.ส.3 จำนวน 2 แปลง อยู่หมู่ที่ 7 ตำบลน้ำทรง อำเภอพยุหะคีรีจังหวัดนครสวรรค์ ของนายเฉลิม ยิ้มเมือง กับนายเจ็งอยู่ แซ่ซึงผู้เสียหาย ผู้เสียหายวางเงินมัดจำไว้1,000,000 บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.2 และลายมือชื่อของนายเฉลิมในหนังสือมอบอำนาจในเอกสารหมายจ.1 เป็นลายมือชื่อปลอม คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ประการแรกว่า คำฟ้องฐานฉ้อโกงของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันกล่าวข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้งโดยจำเลยทั้งสองได้บังอาจหลอกลวงนายเจ็งอยู่ แซ่ซึงผู้เสียหายว่าได้รับมอบอำนาจจากนายเฉลิมให้ขายที่ดิน น.ส.3รวม 2 แปลงซึ่งความจริงนายเฉลิมไม่ได้มอบอำนาจให้แก่จำเลยทั้งสอง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินมัดจำ 1,000,000 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสองไป แม้ว่าความผิดฐานฉ้อโกงจะต้องปรากฎว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตอันเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย แต่หาจำเป็นต้องระบุคำว่ามีเจตนาทุจริตลงในคำฟ้องโดยตรงเสมอไป แม้ในคำฟ้องโจทก์จะไม่ระบุว่าโดยทุจริตแต่คำว่าบังอาจร่วมกันกล่าวข้อความอันเป็นเท็จก็บ่งว่าจำเลยทั้งสองทำโดยทุจริตอยู่ในตัวแล้วและโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า ได้บังอาจหลอกลวงผู้เสียหายอีก คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องฐานฉ้อโกงครบองค์ประกอบความผิดตามที่กฎหมายระบุแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาเป็นข้อต่อไปว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานปลอมเอกสารนั้นเคลือบคลุมเพราะโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองร่วมกันปลอมหรือใช้ให้ผู้อื่นปลอมหนังสือมอบอำนาจการบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ยืนยันข้อเท็จจริงว่าใครปลอมหนังสือมอบอำนาจแน่ ถ้าใช้ให้ผู้อื่นปลอม ผู้อื่นนั้นเป็นใครเห็นว่า ความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 นั้น ผู้ปลอมเพียงแต่ทำปลอมแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารโดยประการที่จะน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนแล้วก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารดังนั้นที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมหรือใช้ให้ผู้อื่นปลอมหนังสือมอบอำนาจนั้นแม้จะได้ความอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าจำเลยทั้งสองปลอมลายมือชื่อนายเฉลิมลงในหนังสือมอบอำนาจและนำหนังสือมอบอำนาจไปใช้ตามที่โจทก์ฟ้องการกระทำของจำเลยทั้งสองก็เป็นความผิดแล้วจึงถือได้ว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆอีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม”
พิพากษายืน