คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6689/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนเดือนละ65,000 บาท และเงินผลตอบแทนอีกเดือนละ 15,000 บาท ให้แก่โจทก์โดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใดทางด้านรถยนต์ให้โจทก์ แต่เงินผลตอบแทนดังกล่าวต้องนำรวมเข้าเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน เงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์อีกเดือนละ 15,000 บาท จึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือน ทำนองเดียวกับเงินเดือน เงินผลตอบแทนที่จำเลยจ่ายแก่โจทก์ดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้าง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 65,000 บาท และค่าพาหนะเดือนละ 15,000 บาท ต่อมาวันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2540และจำเลยได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมค่าชดเชยแก่โจทก์เพียง 130,000 บาท ส่วนที่ขาดอีก 30,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 1 ธันวาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2540 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2540จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์เดือนละ 65,000 บาท และเงินอื่นอีกเดือนละ 15,000 บาทโดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใด ๆ ในด้านรถยนต์ให้โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ได้รับเงินตอบแทนเดือนละ 15,000 บาท เงินจำนวนนี้จะต้องนำมารวมคำนวณเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นและต้องรับผิดชอบต่อการเสียภาษีด้วยเงินอื่นที่โจทก์ได้รับจากจำเลยนี้เป็นเงินค่าพาหนะที่จำเลยเหมาจ่ายแก่โจทก์เพื่อตอบแทนการทำงานเวลาปกติของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือนเงินค่าพาหนะดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้างจำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับอัตราค่าจ้าง 1 เดือน และค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น160,000 บาท แต่จำเลยจ่ายเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เพียง 130,000 บาท จึงไม่ถูกต้องจำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์อีก 30,000 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด สมควรให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 7 วัน ตามที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถาม พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า15,000 บาท ค่าชดเชย 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2541จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า เงินค่ารถประจำตำแหน่งไม่ใช่ค่าจ้างเพราะมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน แต่เป็นเงินสวัสดิการที่จ่ายให้เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลพนักงาน จะนำมารวมคำนวณเป็นค่าจ้างตามกฎหมายแรงงานไม่ได้นั้น เห็นว่า ตามสัญญาจ้างแรงงาน เอกสารหมาย จ.5จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนเดือนละ 65,000 บาท และเงินผลตอบแทนอีกเดือนละ 15,000 บาท ให้แก่โจทก์โดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใดทางด้านรถยนต์ให้โจทก์ แต่เงินผลตอบแทนดังกล่าวต้องนำรวมเข้าเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน เงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์อีกเดือนละ 15,000 บาท จึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือนทำนองเดียวกับเงินเดือน เงินผลตอบแทนที่จำเลยจ่ายแก่โจทก์ดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้าง หาใช่เป็นเพียงค่าสวัสดิการดังที่จำเลยอ้างไม่
พิพากษายืน

Share