คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4221/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้จัดการมรดกมีอำนาจทำการแทนทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกได้การฟ้องคดีนี้ก็เพื่อปลดเปลื้องการรบกวนและเป็นการทำการอันจำเป็นเพื่อรักษาไว้ซึ่งภารจำยอมแทนทายาทผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ ถือได้ว่าเป็นการทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1719 ส. กับโจทก์ใช้ทางบนที่ดินที่พิพาทมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอม จำเลยเพิ่งซื้อที่ดินพิพาทมาภายหลังจาก ส.กับโจทก์ได้ภารจำยอมไปแล้ว แม้ ส. กับโจทก์จะยังไม่ได้จดทะเบียนภารจำยอมหรือ(จำเลย)รับโอนภารยทรัพย์มาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจต่อสู้กับสิทธิภารจำยอมของ ส. กับโจทก์ได้ โจทก์บรรยายฟ้องชัดแจ้งว่า ขอให้ทางพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11835 ของ ส. ด้วย แม้ในคำขอท้ายฟ้องไม่ได้ระบุที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว แต่ก็ได้ระบุเลขที่ดินของ ส. ไว้แล้ว ถือได้ว่าโจทก์มีคำขอบังคับให้ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11835 ของ ส. แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของ ส.กับโจทก์ แต่ในคำพิพากษามิได้ระบุที่ดินโฉนดเลขที่ 11835 ด้วย ย่อม ทำให้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนที่ดินโฉนด เลขที่ 11835 ดังกล่าวนั้นไร้ผล ถือว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้เสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณ เผ่าช่างทอง ผู้ตายนายสุวรรณเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 12499, 11778, 11779, 11797 และ 11835โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11874 ถึง 11876 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1277 และโจทก์ที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1278 และ 1279 ส่วนจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 161 ขอให้ พิพากษาว่าที่ดินของจำเลยทั้งสี่กว้าง 6 เมตร ยาว 140 เมตร ตามแผนที่เอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 161 ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 12499, 11778, 11779, 11797 และ 11874 ถึง 11876 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1277 ถึง 1279 และให้ จำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการจดทะเบียนทางภารจำยอมให้แก่โจทก์ทั้งสี่ หากจำเลยทั้งสี่ ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเพียงผู้จัดการมรดก และโจทก์ทั้งสี่ไม่ใช่ เจ้าของที่ดินตามฟ้องไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ดินของจำเลยทั้งสี่ไม่มีทางพิพาท โดยโจทก์ไม่มีหรือไม่เคยใช้รถยนต์บรรทุกผ่านเข้าออกและนับตั้งแต่จำเลยทั้งสี่ซื้อที่ดินมาไม่มีผู้ใดใช้ที่ดินของจำเลยทั้งสี่เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะหากที่ดินจำเลยทั้งสี่ตกเป็นทางภารจำยอมตามคำอ้างของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แล้วที่ดินดังกล่าวก็ไม่ได้ใช้เป็นทางภารจำยอมเป็นเวลานาน 10 ปีแล้ว ทางภารจำยอมดังกล่าวจึงเป็นอันสิ้นไป นอกจากนี้สิทธิในทางภารจำยอมดังกล่าวของโจทก์ทั้งสี่ยังมิได้จดทะเบียนจึงมิอาจยกขึ้นต่อสู้จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินซึ่งอ้างว่ามีทางพิพาทมาโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทางพิพาทกว้าง 6 เมตร ยาว 140 เมตร ตามแผนที่เอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 161 ของจำเลยทั้งสี่เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 12499, 11778, 11779, 11797,11874, 11875 และ 11876 และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1277, 1278 และ 1279 ของโจทก์ทั้งสี่ ให้จำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่โจทก์ทั้งสี่ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณ เผ่าช่างทอง ตามคำสั่งศาล ขณะมีชีวิตอยู่นายสุวรรณเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 12499, 11778, 11779, และ11835 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11874 ถึง 11876 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1277 โจทก์ที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1278 และ 1279 จำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 161 นายสุวรรณกับโจทก์ที่ 2 เป็นสามีภริยากัน ทางพิพาทกว้าง 6 เมตร ยาว 140 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 161 ตามแผนที่เอกสารท้ายฟ้องหรือหมาย จ.2 ภายในเส้นสีแดงหมายเลข 6 หรือตามแผนที่พิพาทภายในแนวเขตเส้นสีเขียว ต่อมาปี 2534 จำเลยทั้งสี่นำเสาปูนลวดหนามปักขวางทางเข้าออกของทางพิพาท

มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า โจทก์ที่ 1 มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า การที่โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณฟ้องคดีนี้ให้ที่ดินของจำเลยทั้งสี่ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินมรดกของนายสุวรรณ มิใช่เป็นการทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป และผู้มีอำนาจฟ้องคดีนี้คือทายาทของนายสุวรรณ เห็นว่าโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมมีอำนาจทำการแทนทายาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนายสุวรรณได้ และการฟ้องคดีนี้ก็เพื่อปลดเปลื้องการรบกวนและเป็นการทำการอันจำเป็นเพื่อรักษาไว้ซึ่งภารจำยอมแทนทายาทผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ถือได้ว่าเป็นการทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 โจทก์ที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้อง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สองตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่าทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมตามฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงน่าเชื่อและรับฟังไดว่า มีทางพิพาทอยู่บนที่ดินของจำเลยทั้งสี่ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.2 จำเลยทั้งสี่เพิ่งจะซื้อที่ดินเมื่อปี 2525 นายสุวรรณกับโจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2500 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอม การที่จำเลยทั้งสี่เพิ่งซื้อที่ดินพิพาทหลังจากที่นายสุวรรณกับโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ภารจำยอมไปแล้วแม้นายสุวรรณกับโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 จะยังไม่ได้จดทะเบียนหรือจำเลยรับโอนภารยทรัพย์มาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม จำเลยทั้งสี่ก็ไม่อาจจะต่อสู้กับสิทธิภารจำยอมของนายสุวรรณกับโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ได้
อนึ่ง คดีนี้โจทก์มีคำขอไว้ในคำฟ้องชัดแจ้งว่า ขอให้ทางพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11835 ของนายสุวรรณด้วย แม้ในคำขอท้ายฟ้องไม่ได้ระบุที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวแต่ก็ได้ระบุเลขที่ดินไว้ ถือได้ว่าโจทก์มีคำขอบังคับให้ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11835 แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของนายสุวรรณกับโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 แต่ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ระบุเลขโฉนดที่ดินของโจทก์ไม่ครบทุกแปลง โดยไม่ระบุที่ดินโฉนดเลขที่ 11835 ย่อมทำให้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 11835 ดังกล่าวนั้นไร้ผล ถือว่าเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้เสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ทางพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11835 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share