คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเพียงแต่ให้การว่า โจทก์สละมรดกที่ดินพิพาทและคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่โจทก์ทราบว่าเจ้ามรดกถึงแก่กรรม ซึ่งการสละมรดกที่ดินพิพาทกับการมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นข้อเท็จจริงคนละอย่างต่างกัน ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์หมดสิทธิรับมรดกเนื่องจากโจทก์มิได้ครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกคำให้การ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ท. เช่าที่ดินพิพาทจาก จ. แม้ จ. ถึงแก่กรรมแล้ว ท. ก็ยังเช่าติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่า ท. ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ซึ่งก็คือโจทก์กับจำเลยทั้งสอง มิได้ครอบครองแทนเฉพาะจำเลยทั้งสองที่เป็นผู้เก็บค่าเช่าเท่านั้น การที่จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบประกาศกับมิได้คัดค้าน ยังถือไม่ได้ว่ามีการแบ่งมรดกที่ดินพิพาทแล้ว เพราะการปิดประกาศการขอรับมรดกของเจ้าพนักงานที่ดินก็เพื่อให้ผู้ที่มีสิทธิเกี่ยวข้องได้ทราบและมีการกำหนดเวลาให้เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินสามารถดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับมรดกได้หากไม่มีผู้คัดค้าน เมื่อถือว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความหนึ่งปี ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของ จ. เจ้ามรดกหรือไม่ ย่อมมีความหมายครอบคลุมรวมถึงมีสิทธิได้รับมรดกเพียงใด หรือทรัพย์มรดกมีเพียงใดด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ในข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๕๘ หรือแบ่งเฉพาะส่วนของโจทก์หนึ่งในสาม คิดเป็นเนื้อที่ ๖ ไร่ ๒๘ ตารางวา หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๑๕๕๘ ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ให้โจทก์เป็นเจ้าของร่วม หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตรีของนางจิ๊ พุฒชื่นบาน กับนายแหล ปี ๒๔๖๙ นายแหลถึงแก่กรรม นางจิ๊มีสามีใหม่คือ นายพยอม พุฒชื่นบาน มีบุตรด้วยกัน ๖ คน รวมทั้งจำเลยทั้งสอง ปี ๒๕๐๖ นายพยอมถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๘ นางจิ๊รับโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๑๕๕๘ ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี (บางพลีใหญ่) จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑๘ ไร่ ๘๔ ตารางวา จากนางทอง น้อยวานิช ต่อมาวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๐ นางจิ๊ถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรม
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์หมดสิทธิรับมรดกเนื่องจากโจทก์มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นข้อวินิจฉัยที่ไม่ชอบ เพราะจำเลยทั้งสองได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นว่า โจทก์สละมรดกที่ดินพิพาทซึ่งหมายถึงโจทก์มิได้เกี่ยวข้องครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองเพียงแต่ให้การว่า โจทก์สละมรดกที่ดินพิพาทและคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่โจทก์ทราบว่าเจ้ามรดกถึงแก่กรรม ซึ่งการสละมรดกที่ดินพิพาทกับการมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นข้อเท็จจริงคนละอย่างต่างกัน ดังนั้น ข้อที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า โจทก์หมดสิทธิรับมรดกเนื่องจากโจทก์มิได้ครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกคำให้การ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อต่อมาว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความ เห็นว่า นางทองเช่าที่ดินพิพาทจากนางจิ๊ แม้นางจิ๊ถึงแก่กรรมแล้วก็ยังเช่าติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่านางทองครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทนางจิ๊คือโจทก์กับจำเลยทั้งสอง มิได้ครอบครองแทนเฉพาะจำเลยทั้งสองแม้จำเลยทั้งสองจะเป็นผู้เก็บค่าเช่าก็ตาม และการที่จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบประกาศกับมิได้คัดค้านนั้น ยังถือไม่ได้ว่ามีการแบ่งมรดกที่ดินพิพาทแล้ว เพราะการปิดประกาศการขอรับมรดกของเจ้าพนักงานที่ดินก็เพื่อให้ผู้ที่มีสิทธิเกี่ยวข้องได้ทราบ และมีการกำหนดเวลาไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินสามารถดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับมรดกได้หากไม่มีผู้คัดค้าน เมื่อถือว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความหนึ่งปีตามมาตรา ๑๗๕๔ แล้ว ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๔๘ วรรคหนึ่ง สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ไม่รับวินิจฉัยให้ในข้อเท็จจริงที่ว่า ทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เพียงใด เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของนางจิ๊เจ้ามรดกหรือไม่ ย่อมมีความหมายครอบคลุมรวมถึงมีสิทธิได้รับมรดกเพียงใดหรือทรัพย์มรดกมีเพียงใดด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ในข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมิได้ยกปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย และศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยเสียก่อน เห็นว่าข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของจำเลยทั้งสองไม่ได้ความชัดว่า นางจิ๊นำเงินสินเดิมของนายพยอมมาซื้อที่ดินพิพาทดังที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ แต่ข้อเท็จจริงกลับรับฟังได้ว่านางจิ๊ซื้อที่ดินพิพาทหลังจากนายพยอมถึงแก่กรรมแล้วประมาณ ๑๒ ปี กรณียังรับฟังไม่ได้ว่านางจิ๊นำเงินสินเดิมของนายพยอมมาซื้อที่ดินพิพาท ดังนั้น ทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทจึงมีเนื้อที่ ๑๘ ไร่ ๘๔ ตารางวา มิใช่เนื้อที่ ๖ ไร่ ๒๘ ตารางวา ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ฎีกาทุกข้อของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share