แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยด่าว่าโจทก์ไปโดยโทสะจริต เนื่องจากถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง ซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อ และมุ่งด่าว่าโจทก์เป็นส่วนตัวและเฉพาะตัวมิใช่เป็นการด่าประจาน ทั้งเป็นกรณีโจทก์จำเลยทะเลาะโต้เถียงด่าว่ากันมิใช่เกิดจากความประพฤติเป็นปกติวิสัยของจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ คำด่าที่ว่า “ไอ้หน้าเลียหีเมีย” เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้นมิใช่ถ้อยคำหมิ่นประมาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ซึ่งเป็นสามีต่อหน้าผู้บังคับบัญชาและเพื่อร่วมงาน เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน จำเลยให้การว่าไม่เคยหมิ่นประมาทโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ในวันที่ 30มิถุนายน 2526 อันเป็นวันรับเงินเดือน จำเลยมาดักรอโจทก์ที่กองตรวจคนเข้าเมืองแล้วด่าโจทก์ และด่าพาดพิงไปถึงบิดามารดาโจทก์ว่า”อ้ายแก่ อีแก่ เมื่อไหร่ โคตรพ่อโคตรแม่มึงจะตายเสียที” และในวันเดียวกันนั้น จำเลยยังด่าโจทก์อีกว่า “อ้ายลูกชิงหมาเกิดลูกโคตรพ่อโคตรแม่มึง พ่อแม่มึงแก่จะตายอยู่แล้ว” และนายดาบตำรวจประสิทธิ์ ไทรรารอด ได้ยินได้ฟังจำเลยด่านั้น ศาลฎีกาได้ตรวจคำเบิกความของนายดาบตำรวจประสิทธิ์แล้ว นายดาบตำรวจประสิทธิ์เบิกความว่า เห็นโจทก์ส่งเงินให้จำเลย จำนวน 2,000 บาท แล้วเห็นจำเลยกับโจทก์พูดกันในลักษณะถกเถียงกันได้ยินจำเลยด่าโจทก์ว่า”อ้ายลูกชิงหมาเกิด ลูกโคตรพ่อโคตรแม่มึง” และจำเลยพูดพาดพิงไปถึงบิดามารดาโจทก์ว่า “พ่อแม่มึงแก่จะตายอยู่แล้ว” เห็นว่านายดาบตำรวจประสิทธิ์เป็นบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์จำเลย จึงไม่มีเหตุที่จะต้องสนใจจดจำถ้อยคำที่จำเลยด่าโจทก์ถือได้ว่าคำเบิกความของนายดาบตำรวจประสิทธิ์นั้นแม้จะแตกต่างไปจากคำเบิกความของโจทก์บ้างก็เป็นเพียงพลความ ไม่เป็นพิรุธถึงกับทำให้ไม่อาจรับฟังคำเบิกความของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันที่ 30 มิถุนายน 2526 จำเลยด่าโจทก์และพาดพิงไปถึงบิดามารดาโจทก์ตามที่โจทก์เบิกความจริง ปัญหาต่อไปมีว่า ที่จำเลยด่าโจทก์และพาดพิงไปถึงบิดามารดาโจทก์ดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นภริยาโจทก์มานานมีบุตรด้วยกัน 2 คน ขณะเกิดเหตุโจทก์แยกกันอยู่กับจำเลยโดยให้จำเลยเลี้ยงดูบุตรทั้งสองมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว และโจทก์เคยทำบันทึกไว้ต่อพันตำรวจโทจิรพันธ์ผู้บังคับบัญชาโจทก์ว่าจะส่งเสียเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยและบุตรรวม 2,000 บาท ตามเอกสารหมายล.1 แต่โจทก์ก็มิได้ปฏิบัติตามบันทึกโดยส่งเสียเงินให้แก่จำเลยเพียงตอนแรก ๆ แล้วไม่ส่งเสียอีกเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีรายได้จากทางอื่นใดอีก และในวันที่ 30 มิถุนายน 2526 นั้น เป็นวันที่โจทก์รับเงินเดือน ศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ฟังได้ดังกล่าวประกอบกับถ้อยคำที่จำเลยด่าว่าโจทก์แล้ว เห็นว่า เหตุที่จำเลยไปหาโจทก์ที่ที่ทำงานของโจทก์ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์ผิดนัดไม่จ่ายให้จำเลยโดยโจทก์ทอดทิ้งปล่อยให้จำเลยอุปการะเลี้ยงดูบุตรถึง 2 คน จำเลยไม่มีรายได้จากทางอื่นมาจุนเจือ ย่อมทำให้จำเลยตกอยู่ในฐานะเดือดร้อนทั้งน่าเชื่อว่าโจทก์จะต้องปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามข้อผูกพันต่อจำเลยอันเป็นต้นเหตุให้จำเลยด่าว่าโจทก์ไปโดยโทสะจริต เนื่องจากถูกบีบคั้นอย่างรุนแรงและมุ่งด่าว่าโจทก์เป็นส่วนตัวและเฉพาะตัว มิใช่เป็นการด่าประจานดังจะเห็นได้ว่าแม้แต่นายดาบตำรวจประสิทธิ์ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุก็ยังได้ยินข้อความแตกต่างออกไป และน่าเชื่อว่าเป็นกรณีโจทก์จำเลยทะเลาะโต้เถียงด่าว่ากัน มิใช่เกิดจากความประพฤติเป็นปกติวิสัยของจำเลย จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่ว อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ ที่โจทก์ฎีกาอีกว่า ในวันเดียวกันนั้นจำเลยได้ถลกกระโปรงและด่าโจทก์ว่า “ไอ้หน้าเลียหีเมีย”นั้น โจทก์และนายดาบตำรวจประสิทธิ์พยานเบิกความตรงกัน จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำดังกล่าวจริง แต่ศาลฎีกาเห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวมิใช่ถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้น ทั้งปรากฏว่าจำเลยกล่าวด้วยความโมโห ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เนื่องจากจำเลยได้รับความบีบคั้นทางด้านจิตใจซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อขึ้น โดยทอดทิ้งจำเลยปล่อยให้จำเลยเลี้ยงดูบุตรเล็ก ๆ ถึง2 คน ไม่ยอมให้จำเลยและบุตรร่วมอยู่อาศัยในบ้านโจทก์ไม่ยอมร่วมหลับนอนกับจำเลยเป็นเวลากว่า 3 ปี เป็นที่น่าเห็นใจจำเลยหาใช่จำเลยประพฤติเช่นนี้เป็นปกตินิสัยไม่ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วและหมิ่นประมาทโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(2)(3) ส่วนที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า เมื่อวันที่26 มิถุนายน 2526 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา จำเลยด่าโจทก์ต่อหน้าพันตำรวจโทจิรพันธ์ผู้บังคับบัญชาและต่อหน้าเพื่อนร่วมงานโจทก์ว่า”โจทก์หลอกลวงเอาเงินทองของจำเลยจนหมดตัวแล้วเฉดหัวจำเลยออกจากบ้าน หลอกว่าเอาเงินมาวิ่งเต้นให้ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกองตรวจคนเข้าเมือง” นั้น เห็นว่า พันตำรวจโทจิรพันธ์พยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยมาหาพยานครั้งแรกกล่าวหาว่าโจทก์ทอดทิ้งไม่เลี้ยงดูพยานได้เรียกโจทก์มา พยานถามจำเลยว่ามีเรื่องอะไรกัน จำเลยว่าโจทก์ทอดทิ้งไม่เลี้ยงดูจำเลย พยานถามโจทก์ว่าทำไมไม่อยู่กับจำเลยโจทก์ว่าโจทก์อยู่ด้วยไม่ได้ จำเลยรุนแรงต่อโจทก์ทั้งคำพูดและแสดงกิริยาต่าง ๆ พยานถามโจทก์ว่าจำเลยพูดว่าอย่างไร โจทก์ว่าจำเลยกล่าวหาโจทก์ว่าได้เสียเงินทองแก่โจทก์ไปมาก เช่นในการได้รับการแต่งตั้งมาประจำอยู่ที่กองตรวจคนเข้าเมือง จำเลยได้จ่ายเงินให้โจทก์ไปให้ผู้ใหญ่ พยานถามจำเลยว่าเป็นจริงไหมเรื่องนี้จำเลยบอกว่าเป็นเรื่องจริง จำเลยบอกว่าเมื่อได้กับโจทก์ต้องขายบ้านให้โจทก์ไปวิ่งเต้นหมดบ้านไปหลังหนึ่ง และพยานเบิกความอีกว่าจำเลยจะขึ้นไปพูดเอะอะโวยวายที่ที่ทำงานกองตรวจคนเข้าเมืองหรือไม่พยานไม่เห็น ตามคำเบิกความของพันตำรวจโทจิรพันธ์พยานโจทก์เป็นเรื่องจำเลยไปขอความเป็นธรรมจากพันตำรวจโทจิรพันธ์คำพูดที่ว่าจำเลยขายบ้านให้โจทก์วิ่งเต้นผู้ใหญ่เพื่อย้ายไปประจำอยู่กองตรวจคนเข้าเมือง โจทก์เป็นคนพูดเองโดยตอบคำถามของพันตำรวจโทจิรพันธ์ จำเลยมิได้ด่าและมิได้เป็นผู้เอะอะโวยวายด่าโจทก์เพื่อให้โจทก์เสียหายดังโจทก์ฟ้องแต่อย่างใด ทั้งปรากฏว่าจำเลยก็ได้ขายที่ดินและบ้านไปจริง และโจทก์ก็ได้มาประจำอยู่ที่กองตรวจคนเข้าเมืองจริง การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นการประพฤติชั่วดังที่โจทก์ฎีกา ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าขาดจากจำเลยได้ แม้โจทก์จะไม่ประสงค์อยู่กินเป็นสามีภรรยากับจำเลยอีกต่อไปก็ตามศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน