คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6682/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยด่าว่าโจทก์ไปโดยโทสะจริตเนื่องจากถูกบีบคั้นอย่างรุนแรงซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อ และมุ่งด่าว่าโจทก์เป็นส่วนตัวและเฉพาะตัว มิใช่เป็นการด่าประจาน ทั้งเป็นกรณีโจทก์จำเลยทะเลาะโต้แย้งด่าว่ากัน มิใช่เกิดจากความประพฤติเป็นปกติวิสัยของจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้
คำด่าที่ว่า “ไอ้หน้าเลียหีเมีย” เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้น มิใช่ถ้อยคำหมิ่นประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีจำเลย จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ต่อหน้าผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน โดยด่าว่าโจทก์และบิดามารดาโจทก์ อันถือไว้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ขอศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน
จำเลยให้การว่า ไม่เคยด่าว่าโจทก์และบิดามารดาโจทก์ โจทก์ฟ้องหย่าเพื่อประสงค์จะไปจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่าในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๖ อันเป็นวันรับเงินเดือน จำเลยมาดักรอโจทก์ที่กองตรวจคนเข้าเมืองแล้วด่าโจทก์และด่าพาดพิงไปถึงบิดามารดาโจทก์ว่า “อ้ายแก่ อีแก่ เมื่อไหร่โคตรพ่อโคตรแม่มึงจะตายเสียที” และในวันเดียวกันนั้น จำเลยยังด่าโจทก์อีกว่า “อ้างลูกชิงหมาเกิด ลูกโคตรพ่อโคตรแม่มึง พ่อแม่มึงแก่จะตายอยู่แล้ว” และนายดาบตำรวจประสิทธิ์ ไทรรารอด ได้ยินได้ฟังจำเลยด่านั้นศาลฎีกาได้ตรวจคำเบิกความของนายดาบตำรวจประสิทธิ์แล้ว นายดาบตำรวจประสิทธิ์เบิกความว่า เห็นโจทก์ส่งเงินให้จำเลยจำนวน ๒,๐๐๐ บาท แล้วเห็นจำเลยกับโจทก์พูดกันในลักษณะถกเถียงกันได้ยินจำเลยด่าโจทก์ว่า “อ้ายลูกชิงหมาเกิด ลูกโคตรพ่อโคตรแม่มึง” และจำเลยพูดพาดพิงไปถึงบิดามารดาโจทก์ว่า “พ่อแม่มึงแก่จะตายอยู่แล้ว” เห็นว่า นายดาบตำรวจประสิทธิ์เป็นบุคคลภายนอก ไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์จำเลยจึงไม่มีเหตุที่จะต้องสนใจจดจำถ้อยคำที่จำเลยด่าโจทก์ ถือได้ว่าคำเบิกความของนายดาบตำรวจประสิทธิ์นั้นแม้จะแตกต่างไปจากคำเบิกความของโจทก์บ้างก็เป็นเพียงพลความไม่เป็นพิรุธถึงกับทำให้ไม่อาจรับฟังคำเบิกความของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยด่าโจทก์และพาดพิงไปถึงบิดามารดาโจทก์ ตามที่โจทก์เบิกความจริงปัญหาต่อไปมีว่า ที่จำเลยด่าโจทก์และพาดพิงไปถึงบิดามารดาโจทก์ดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นภริยาโจทก์มานาน มีบุตรด้วยกัน ๒ คน ขณะเกิดเหตุโจทก์แยกกันอยู่กับจำเลยโดยให้จำเลยเลี้ยงดูบุตรทั้งสองมาเป็นเวลา ๓ ปีแล้ว และโจทก์เคยทำบันทึกไว้ต่อพันตำรวจโทจิรพันธ์ ผู้บังคับบัญชาโจทก์ว่าจะส่งเสียเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยและบุตรรวม ๒,๐๐๐ บาทตามเอกสารหมาย ล.๑ แต่โจทก์ก็มิได้ปฏิบัติตามบันทึก โดยส่งเสียเงินให้แก่จำเลยเพียงตอนแรก ๆ แล้วไม่ส่งเสียอีกเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีรายได้จากทางอื่นใดอีก และในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๖ นั้น เป็นวันที่โจทก์รับเงินเดือนศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ฟังได้ดังกล่าวประกอบกับถ้อยคำที่จำเลยด่าว่าโจทก์แล้วเห็น ว่า เหตุที่จำเลยไปหาโจทก์ที่ที่ทำงานของโจทก์ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์ผิดนัดไม่จ่ายให้จำเลย โดยโจทก์ทอดทิ้งปล่อยให้จำเลยอุปการะเลี้ยงดูบุตรถึง ๒ คน จำเลยไม่มีรายได้จากทางอื่นมาจุนเจือ ย่อมทำให้จำเลยตกอยู่ในฐานะเดือดร้อนทั้งน่าเชื่อว่าโจทก์จะต้องปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามข้อผูกพันต่อจำเลย อันเป็นต้นเหตุให้จำเลยด่าว่าโจทก์ไปโดยโทสะจริต เนื่องจากถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง และมุ่งด่าว่าโจทก์เป็นส่วนตัวและเฉพาะตัว มิใช่เป็นการด่าประจาน ดังจะเห็นได้ว่าแม้แต่นายดาบตำรวจประสิทธิ์ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุก็ยังได้ยินข้อความแตกต่างออกไป และน่าเชื่อว่าเป็นกรณีโจทก์จำเลยทะเลาะโต้เถียงด่าว่ากัน มิใช่เกิดจากความประพฤติเป็นปกติวิสัยของจำเลย จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่ว อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ ที่โจทก์ฎีกาอีกว่าในวันเดียวกันนั้นจำเลยได้ถลกกระโปรงและด่าโจทก์ว่า “ไอ้หน้าเลียหีเมีย” นั้น โจทก์และนายดาบตำรวจประสิทธิ์พยานเบิกความตรงกัน จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำดังกล่าวจริง แต่ศาลฎีกาเห็นว่าถ้อยคำที่จำเลยด่าโจทก์ดังกล่าวมิใช่ถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้น ทั้งปรากฏว่าจำเลยกล่าวด้วยความโมโห ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เนื่องจากจำเลยได้รับความบีบคั้นทางด้านจิตใจ ซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อขึ้น โดยทอดทิ้งจำเลยปล่อยให้จำเลยเลี้ยงดูบุตรเล็ก ๆ ถึง ๒ คน ไม่ยอมให้จำเลยและบุตรร่วมอยู่อาศัยในบ้านโจทก์ ไม่ยอมร่วมหลับนอนกับจำเลยเป็นเวลากว่า ๓ ปี เป็นที่น่าเห็นใจจำเลย หาใช่จำเลยประพฤติเช่นนี้เป็นปกตินิสัยไม่ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วและหมิ่นประมาทโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๑๖ (๒) (๓) ส่วนที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๒๖ เวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา จำเลยด่าโจทก์ต่อหน้าพันตำรวจโทจิรพันธ์ผู้บังคับบัญชาและต่อหน้าเพื่อร่วมงานโจทก์ว่า “โจทก์หลอกลวงเอาเงินทองของจำเลยจนหมดตัวแล้วเฉดหัวจำเลยออกจากบ้า หลอกว่าเอาเงินมาวิ่งเต้นให้ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกองตรวจคนเข้าเมือง” นั้น เห็นว่า…จำเลยมิได้ด่า…จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่า
พิพากษายืน

Share