คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวในคำฟ้องเกี่ยวกับการที่โจทก์ยึดรถยนต์ซึ่งให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อคืนมาได้ในสภาพเสียหายมาก เนื่องจากใช้โดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชน โจทก์นำรถยนต์ดังกล่าวออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อไปในราคา 460,000 บาท ยังขาดราคาค่าเช่าซื้ออยู่อีก 295,416 บาท โจทก์เรียกค่าเสียหายส่วนนี้จากผู้เช่าซื้อตามสัญญาข้อ 9 เป็นคำฟ้องที่บังคับให้ผู้เช่าซื้อชำระราคาค่าเช่าซื้อส่วนที่ขาดอยู่ โดยอาศัยสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 แม้มิได้บรรยายถึงว่า รถยนต์ที่ยึดคืนมาได้มีสภาพชำรุดเสียหายอย่างใด ก็ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาไม่จำต้องกล่าวในฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2528จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุก หมายเลขเครื่องเอ็น อี 6-000050 ของโจทก์ไป 1 คัน ในราคา 837,000 บาท ชำระเงินวันทำสัญญา 60,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็น 36 งวด จำเลยที่ 3และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ตั้งแต่งวดที่ 2 ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2528 เป็นต้นไปซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อได้กำหนดไว้ให้สัญญาเลิกกันทันที โดยมิจำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ติดตามยึดรถยนต์คืนมาได้เมื่อวันที่12 มกราคม 2529 ปรากฏว่ารถยนต์อยู่ในสภาพเสียหายมาก เนื่องจากการใช้โดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชน โจทก์ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวออกให้เช่าซื้อแก่ผู้มีชื่อไปในราคา 460,000 บาทจึงขาดราคาค่าเช่าซื้ออยู่อีก 295,416 บาท และการที่จำเลยไม่ส่งมอบรถยนต์คืนให้โจทก์ทันทีที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์นั้น เพราะหากจำเลยที่ 1และที่ 2 ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์สามารถนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 20,000 บาท ค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ 10พฤษภาคม 2528 ถึงวันที่โจทก์ยึดรถยนต์คืนมาได้เป็นเวลา 8 เดือนแต่โจทก์ขอคิดเพียง 5 เดือน เป็นเงิน 100,000 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องรับผิดทั้งสิ้น 395,416 บาท จำเลยที่ 3และที่ 4 ผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าเสียหายแล้ว จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 395,416 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบแปดต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายถึงสภาพชำรุดเสียหายของรถยนต์ที่เช่าซื้อว่าชำรุดเสียหายอย่างใดทำให้จำเลยทั้งสี่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง เนื่องจากโจทก์สามารถให้เช่าซื้อรถยนต์ได้ในราคาที่สูงกว่านี้มาก เพราะรถยนต์มีสภาพดีการที่โจทก์ให้เช่าซื้อไปในราคาดังกล่าวเป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในราคาส่วนที่ขาดอยู่ นอกจากนี้จำเลยได้วางมัดจำและชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ไปแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 81,584 บาทถือว่าเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับไปพอสมควรแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายอื่นอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 130,416 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสี่ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่า โจทก์กล่าวในคำฟ้องเกี่ยวกับที่โจทก์ยึดรถยนต์ที่ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อคืนมาได้ในสภาพเสียหายมากเนื่องจากการใช้โดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชน โจทก์นำรถยนต์ดังกล่าวออกให้ผู้มีชื่อเช่าซื้อไปในราคา 460,000 บาท ยังขาดราคาค่าเช่าซื้ออยู่อีก 295,416 บาท โจทก์เรียกค่าเสียหายส่วนนี้จากผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 เป็นคำฟ้องบังคับให้ผู้เช่าซื้อชำระราคาค่าเช่าซื้อส่วนที่ยังขาดอยู่โดยอาศัยสัญญาเช่าซื้อข้อ 9แม้มิได้บรรยายถึงว่า รถยนต์ที่ยึดคืนมาได้มีสภาพชำรุดเสียหายอย่างใด ก็ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาไม่จำต้องกล่าวในฟ้อง…”
พิพากษายืน

Share