แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนซึ่งจำเลยฟ้องโจทก์นั้นศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินของจำเลยตกอยู่ในที่ล้อม จำเลยมีสิทธิผ่านที่ดินของโจทก์ซึ่งล้อมอยู่ไปสู่คลองและทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องแย้งในคดีนั้นเรียกค่าทดแทนความเสียหายจากการที่จำเลยจะใช้ที่ดินของโจทก์ ศาลจึงไม่พิพากษา ให้จำเลยใช้ค่าทดแทนความเสียหายให้แก่โจทก์และว่าหากโจทก์ประสงค์จะได้ค่าทดแทนความเสียหายก็ชอบที่จะว่ากล่าวแก่จำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ ขอให้จำเลยใช้ค่าทดแทนที่โจทก์เปิดทางเดินให้ดังนี้ ในคดีก่อนมีประเด็นเพียงว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ส่วนคดีหลังมีประเด็นว่าจำเลยจะต้องให้ค่าทดแทนเพื่อการใช้ ทางผ่านนั้นแก่โจทก์หรือไม่ ประเด็นคนละอย่างกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่ เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2502 จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดปทุมธานี กล่าวหาว่าโจทก์กั้นรั้วลวดหนามและทำคันดินปิดกั้นหน้าที่ดินจำเลย ทำให้จำเลยออกไปสู่ถนนสาธารณะและใช้น้ำในลำคลองสาธารณะไม่ได้ ขอให้โจทก์รื้อรั้วลวดหนามและคันดินออก คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ แต่ให้โจทก์รื้อลวดหนามและคันดินออกทั้งหมดโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ แต่ให้โจทก์รื้อรั้วลวดหนามเพียงเท่าความกว้างของสะพานที่จำเลยทำไว้ ส่วนคันดินนั้นจำเลยไม่มีสิทธิจะขอให้โจทก์รื้อออก คดีเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28/2518 ของศาลจังหวัดปทุมธานี การที่ศาลพิพากษาให้โจทก์เปิดทางเดินเพื่อให้จำเลยใช้รถยนต์ข้ามสะพานที่จำเลยทำไว้สำหรับข้ามคลองไปสู่ถนนสาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจใช้ที่ดินตรงเชิงสะพานด้านทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ 3 ตารางวา โจทก์ขอค่าทดแทนเป็นเงินปีละ 1,200 บาท เนื่องจากสะพานดังกล่าวมิได้อยู่ริมสุดของที่ดินโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่อาจใช้ที่ดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินที่ศาลให้โจทก์เปิดเป็นทางเดิน เนื้อที่ประมาณ 10 ตารางวา โจทก์ขอค่าเสียหายเป็นเงินปีละ 3,600 บาท ค่าทดแทนและค่าเสียหายนี้ โจทก์ขอให้จำเลยชำระแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คือวันที่ 12 พฤศจิกายน 2518 เป็นต้นไป ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าทดแทนที่โจทก์เปิดทางเดินให้จำเลยเป็นรายปี ปีละ 1,200 บาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้ที่ดินที่ให้จำเลยผ่านเป็นเงินปีละ 3,600 บาทนับตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2518 เป็นต้นไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องรื้อรั้วลวดหนามและคันดินเป็นเงิน 6,745 บาทกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่ปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยมีคดีพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวคดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์โดยวินิจฉัยว่าจำเลยและบริวารมีสิทธิจะใช้ที่ดินส่วนนี้ได้ตามกฎหมายและความจำเป็น พิพากษาให้จำเลยและบริวารใช้ที่ดินส่วนที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ได้โดยไม่ต้องใช้ค่าทดแทนและค่าเสียหายแก่โจทก์ รายละเอียดแห่งคำพิพากษาปรากฏอยู่ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28/2518 ของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าทดแทนปีละ 1,200 บาท เงินค่าเสียหายปีละ 3,600 บาท จากจำเลย
คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ขอให้ศาลนำสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 8/2518 ของศาลจังหวัดปทุมธานีมาเป็นพยานหลักฐานในสำนวนคดีนี้ โดยไม่ต้องสืบพยานกันต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ปีละ 1,200 บาทนับแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2518 เป็นต้นไป จนกว่าจะหมดความจำเป็นในการผ่านทาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28/2518ของศาลจังหวัดปทุมธานีว่า นางฟุ้ง เกตุจุมพล จำเลยในคดีนี้เคยเป็นโจทก์ฟ้องนางสมพงษ์ เบอร์พันธ์ โจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลย ขอให้นางสมพงษ์รื้อรั้วลวดหนามและคันดินที่นางสมพงษ์ทำกั้นทางเดินและทางน้ำออกไปให้พ้นหน้าที่ดินของนางฟุ้ง คดีดังกล่าวนี้เป็นยุติในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินนางฟุ้งตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้นางฟุ้งย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินของนางสมพงษ์ซึ่งล้อมอยู่ไปสู่คลองและทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349เนื่องจากนางสมพงษ์มิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนความเสียหายจากการที่นางฟุ้งจะใช้ที่ดินของนางสมพงษ์ จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้นางฟุ้งใช้ค่าทดแทนความเสียหายให้แก่นางสมพงษ์ หากนางสมพงษ์ประสงค์จะได้ค่าทดแทนความเสียหาย ก็ชอบที่จะว่ากล่าวแก่นางฟุ้งเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้นางสมพงษ์รื้อรั้วลวดหนามเฉพาะส่วนที่นางสมพงษ์ทำปิดกั้นสะพานไม้ที่นางฟุ้งทำไว้ในปัจจุบัน โดยนางฟุ้งไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายกับค่าทดแทนในการใช้ทางผ่านที่ดินให้แก่นางสมพงษ์ นางสมพงษ์จึงฟ้องเป็นคดีนี้
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28/2518 ของศาลจังหวัดปทุมธานีได้กล่าวไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนั้นไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายกับค่าทดแทนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ ทั้งคดีดังกล่าวเป็นอันยุติแล้วด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายและค่าทดแทนจากจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวก็เพราะเหตุว่าจำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนความเสียหายมาด้วย แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 บังคับว่า ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น จำเลยจึงต้องใช้ค่าทดแทนเป็นค่าใช้ทางให้แก่โจทก์
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28/2518 ของศาลจังหวัดปทุมธานีในคดีดังกล่าวโจทก์ก็มีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนได้อยู่แล้ว แต่หาได้ฟ้องแย้งไม่ ทั้งศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วด้วย การที่โจทก์รื้อฟื้นมาร้องฟ้องอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันคือค่าเสียหายกับค่าทดแทน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ศาลฎีกาเห็นว่าในคดีก่อนคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28/2518 ดังกล่าวมีประเด็นเพียงว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ส่วนคดีหลังนี้มีประเด็นว่าจำเลยจะต้องให้ค่าทดแทนเพื่อการใช้ทางผ่านนั้นแก่โจทก์หรือไม่ ประเด็นคนละอย่างต่างกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีมาชอบแล้ว
พิพากษายืน