คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6670/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือ ส.ค.1 การให้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงมิอาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และการให้ในลักษณะนี้สมบูรณ์โดยการส่งมอบการครอบครองที่ดินให้ จึงมิได้ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 การโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ของ ห. ตามนิติกรรมการให้ในบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 เป็นเรื่องที่ ห.ผู้ให้แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทที่ ห.ยึดถือครอบครองอยู่เดิมให้แก่จำเลยที่ 1 การครอบครองของ ห.ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรกจำเลยที่ 1 จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามบันทึกถ้อยคำดังกล่าวกรณีมิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคสอง หรือมาตรา 9 แต่อย่างใด การสละการยึดถือครอบครองในลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย การให้ที่ดินพิพาทของห. แก่จำเลยที่ 1 จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1378

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาทำลายหรือเพิกถอนนิติกรรมการยกให้ซึ่งที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 109 ที่นางหยุกลั่น แซ่เฮ่าหรือแซ่แท่น ยกให้จำเลยที่ 1 และให้ทำลายหรือเพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวด้วยเนื่องจากนางหยุกลั่นได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 แล้ว
จำเลยทั้งสองให้การว่า นางหยุกลั่นทำพินัยกรรมยกที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์และจำเลยที่ 1 จริง แต่ก่อนนางหยุกลั่นถึงแก่ความตายได้ทำบันทึกยกที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ถือได้ว่าเป็นการเพิกถอนข้อกำหนดในพินัยกรรมโดยปริยาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 1ถึงแก่กรรม นางวิรัตน์ วิริยะภูรี ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงแบบแจ้งการครอบครองที่ดินหรือ ส.ค.1 เท่านั้น การให้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงมิอาจจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และการให้ในลักษณะนี้สมบูรณ์โดยการส่งมอบการครอบครองที่ดินที่ให้จึงมิได้ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ดังนั้นการที่นางหยุกลั่นทำนิติกรรมตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ดังที่โจทก์ฎีกา ส่วนการที่นางหยุกลั่นโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยที่นายอำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา ยังไม่ได้รับรองว่าที่ดินพิพาทได้ทำประโยชน์แล้วจะขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสองหรือไม่นั้นเห็นว่า การโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ของนางหยุกลั่นตามนิติกรรมการให้ในบันทึกถ้อยคำ เอกสารหมาย ล.2 เป็นเรื่องที่นางหยุกลั่นผู้ให้แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทที่นางหยุกลั่นยึดถือครอบครองอยู่เดิมให้แก่จำเลยที่ 1การครอบครองของนางหยุกลั่นย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก จำเลยที่ 1จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.2 มิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสอง หรือมาตรา 9 แต่อย่างใดการสละการยึดถือครอบครองในลักษณะเช่นนี้ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายการให้ที่พิพาทของนางหยุกลั่นแก่จำเลยที่ 1 จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 หาได้ตกเป็นโมฆะดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share