คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6666/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยดึงรั้วไม้ไผ่ผ่าซีกที่ยึดติดเป็นแผงซึ่งเป็นรั้วบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 แล้วนำไปเผาทำลายนั้น เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 เพียงบทเดียวมิใช่กระทำผิดหลายบท เพราะจำเลยมีเจตนาจะทำลายรั้วไม้ไผ่ที่ปักติดเป็นแผงโดยนำไปเผาให้ใช้การได้เท่านั้น การเผาแผงไม้ไผ่นั้นเป็นการทำลายทรัพย์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ให้เสียหาย มิใช่วางเพลิงเผาทรัพย์รั้วบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 เนื่องจากจำเลยมิได้วางเพลิงเผาแผงไม้ไผ่ในขณะที่มีสภาพเป็นรั้วบ้านกั้นขอบเขตเป็นที่อยู่อาศัย ของโจทก์ร่วมที่ 1 อันจะต้องด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 ราคาทรัพย์ที่เสียหายมีเพียง 1,000 บาท และเป็นความผิดทางอาญาไม่ร้ายแรง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษอาญามาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลย โดยรอการลงโทษจำคุกเพื่อให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป ดีกว่าจะพิพากษาลงโทษจำคุกซึ่งอาจไม่เป็นผลดีหรือไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขความประพฤติของจำเลย แต่เพื่อให้หลาบจำ ให้ปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำให้เสียทรัพย์โดยวางเพลิงเผารั้วบ้านไม้ไผ่สีสุกผ่าซีกตียึดติดเป็นแผง ยาวแผงละ 4 เมตร จำนวน 2 แผง ราคา 1,000 บาท ของนายบัวลัย ผ่องจิตร์ ผู้เสียหาย จนเกิดการลุกไหม้ อันเป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งรั้วบ้านดังกล่าวอันเป็นทรัพย์สินที่มีราคาน้อย และไม่เป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217, 223, 358
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายบัวลัย ผ่องจิตร์ ที่ 1 นางปราณี ผ่องจิตร์ ที่ 2 ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 217, 223, 358 เป็นความผิดหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 เดือน ปรับ 2,000 บาท จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยได้เผาเศษใบไม้และกิ่งไม้คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ขณะนั้นโจทก์ร่วมที่ 1 กำลังอาบน้ำอยู่บนบ้านได้ยินเสียงโจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรสาวร้องว่าทำไมเผารั้ว แล้วโจทก์ร่วมที่ 1 จึงออกไปดูบริเวณรั้วทางด้านทิศตะวันออก เห็นจำเลยกำลังดึงรั้วไม้ไผ่ที่ผูกเป็นแผงไปเผา โจทก์ร่วมที่ 1 ออกไปดูบริเวณที่จำเลยเผารั้วไม้ไผ่และสอบถามว่าเพราะเหตุใดจึงเผาและห้ามจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมเชื่อฟัง โจทก์ร่วมที่ 1 จึงให้โจทก์ร่วมที่ 2 ไปแจ้งนายนิยม กรวยสะอาด ผู้ใหญ่บ้าน เมื่อนายนิยมมาถึง ก็ไม่ได้เจรจาหรือไกล่เกลี่ยอะไร วันรุ่งขึ้นโจทก์ร่วมที่ 1 จึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก พนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพรั้วที่เกิดเหตุกับร่องรอยการเผารั้วที่ถอนไป ตามภาพถ่ายหมาย จ.1 เห็นว่า โจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า เห็นจำเลยดึงรั้วไม้ไผ่ทางรั้วด้านทิศตะวันออกของโจทก์ร่วมที่ 1 จำนวน 2 แผง แล้วนำไปเผาใกล้บริเวณรั้วนั้น โดยขณะนั้นโจทก์ร่วมที่ 2 ก็ได้ร้องถามจำเลยว่า ทำไมเผารั้ว และขณะที่จำเลยนำรั้วไปเผาโจทก์ร่วมที่ 1 ก็ได้ร้องห้ามมิให้เผา แต่จำเลยไม่เชื่อฟัง และหลังเกิดเหตุในวันรุ่งขึ้นโจทก์ร่วมที่ 1 จึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาจำเลยดังกล่าว ซึ่งข้อนี้ร้อยตำรวจเอกชัยพันธุ์ แสงนาค พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า ภายหลังเกิดเหตุ คือวันที่ 12 มิถุนายน 2539 โจทก์ร่วมที่ 1 ได้ไปแจ้งต่อพยานว่าจำเลยดึงรั้วไม้ไผ่สองแผงแล้วนำไปเผาทำลาย และร้อยตำรวจโทสาโรจน์ กองทอง ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนต่อจากร้อยตำรวจเอกชัยพันธ์ พนักงานสอบสวนคนเดิมว่า ภาพสถานที่เกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย จ.1 ถ่ายหลังเกิดเหตุใหม่ ๆ น่าเชื่อว่าสภาพรั้วและร่องรอยการเผารั้วไม้ไผ่ตามภาพถ่ายดังกล่าวได้เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะภาพถ่ายหมาย จ.1 ภาพที่ 2ก็มีร่องรอยรั้วล้มลงเป็นแนว แสดงว่าถูกดึงออกไป จึงส่อแสดงว่าแผงไม้ไผ่ที่กั้นเป็นรั้วได้ถูกดึงออกไปเผา เมื่อพิจารณาประกอบภาพถ่ายหมาย ล.1 ก็มีกองขี้เถ้าของสิ่งของที่ถูกเผาเหลืออยู่ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายเจริญ ธนสารกุล มาเบิกความเป็นพยานว่าในวันเกิดเหตุพยานเสร็จจากการก่อสร้างบ้านโจทก์ร่วมที่ 1 ระหว่างนั่งพักดื่มน้ำได้ยินเสียงของโจทก์ร่วมที่ 2 เอะอะโวยวาย จึงเดินไปดูเห็นจำเลยนำแผงรั้วไม้ไผ่ขัดแตะทางด้านทิศตะวันออกของบ้านโจทก์ร่วมที่ 1 ไปเผาใกล้รั้วดังกล่าว พยานโจทก์ปากนี้ไม่มีส่วนได้เสียกับคู่กรณี จึงน่าเชื่อว่าเบิกความตามเหตุการณ์ที่ตนได้รู้เห็นจริง คำของโจทก์ร่วมทั้งสองกับพยานโจทก์ดังกล่าวจึงสอดคล้องกัน มีเหตุผลน่ารับฟังจึงฟังได้ว่าวันเกิดเหตุจำเลยดึงรั้วไม้ไผ่ผ่าซีกที่ยึดติดเป็นแผงทางรั้วด้านทิศตะวันออกแล้วนำไปเผาทำลายการกระทำของจำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 เพียงบทเดียว มิใช่กระทำผิดหลายบท เพราะจำเลยมีเจตนาจะทำลายรั้วไม้ไผ่ที่ปักติดเป็นแผงของโจทก์ร่วมที่ 1 โดยนำไปเผาให้ใช้การไม่ได้เท่านั้น การเผาแผงไม้ไผ่นั้นเป็นการทำลายทรัพย์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ให้เสียหาย มิใช่วางเพลิงเผาทรัพย์ คือเผารั้วบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 ตามฟ้อง เพราะจำเลยมิได้วางเพลิงเผาแผงไม้ไผ่ในขณะที่มีสภาพเป็นรั้วบ้านกั้นขอบเขตเป็นที่อยู่อาศัยของโจทก์ร่วมที่ 1 อันจะต้องด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 ส่วนที่จำเลยนำสืบอ้างว่า วันเกิดเหตุ จำเลยกับนางบัวพาช่วยกันเก็บกวาดเศษใบไม้บริเวณที่ดินสาธารณะทางทิศตวันตกติดกับบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 เพื่อไม่ให้ท่อน้ำอุดตัน โดยจำเลยมิได้เผารั้วไม้ไผ่บ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 นั้น เป็นการกล่าวอ้างขึ้นเพียงฝ่ายเดียว เพราะนางบัวพาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า พยานกลับไปก่อนไม่ทราบว่าจำเลยได้ทำอะไรต่ออีกหรือไม่ คำของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง และไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว เห็นว่า ราคาทรัพย์ที่เสียหายมีเพียง 1,000 บาท และเป็นความผิดทางอาญาไม่ร้ายแรง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษอาญามาก่อนเห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยโดยรอการลงโทษจำคุกเพื่อให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไปดีกว่าจะพิพากษาลงโทษจำคุก ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีหรือไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขความประพฤติของจำเลย แต่เพื่อให้หลาบจำ ให้ปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 จำคุก 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขออื่นของโจทก์ให้ยกเสีย

Share