แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกันแม้จะแบ่งเป็นหลายตอนก็ต้องอ่านตลอดเรื่องแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าบันทึกนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงทำบันทึกที่อำเภอว่า โจทก์จะชำระเงินที่กู้ไปให้ ๖,๔๐๐ บาท และจำเลยยอมคืนมาให้โจทก์ ถึงวันนัด จำเลยไม่ยอมตามข้อตกลงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่าจำเลยสำคัญผิด
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ เอกสารหมาย จ.๑ (บันทึก) ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เอกสารหมาย จ.๑ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความพิพากษากลับ ให้จำเลยรับชำระเงินและคืนนาให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เอกสารหมาย จ.๑ แบ่งเป็น ๔ ตอน ตอนที่ ๑ เป็นคำร้องของโจทก์ยื่นต่อนายอำเภอ กล่าวหาว่าโจทก์ขายฝากนาไว้กับจำเลย โจทก์ขอไถ่จำเลยไม่ยอม ขอให้เรียกมาพูดจากัน ตอนที่ ๒ เป็นบันทึกปากคำโจทก์ประกอบข้อกล่าวหาว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยโดยมอบนาพิพาทให้จำเลยยึดถือ โจทก์ลงชื่อท้ายบันทึก ตอนที่ ๓ เป็นบันทึกปากคำจำเลยแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ว่า โจทก์ขายกรรมสิทธิ์นาพิพาทให้จำเลย จำเลยลงชื่อท้ายบันทึก ตอนที่ ๔ เป็นบันทึกของปลัดอำเภอผู้สอบสวนและไกล่เกลี่ยว่าสอบโจทก์โจทก์ยินดีให้เงินจำเลย ๖,๔๐๐ บาท จะได้เข้าทำนาเป็ปกติเสียที ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าอ่านเฉพาะตอนที่ ๒ ที่ ๓ อาจไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่บันทึกทั้ง ๔ ตอนนี้ เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกันต้องอ่านตลอดเรื่อง จะปรากฏข้อโต้เถียงว่า โจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยหรือขายให้ เป็นข้อพิพาท เมื่อจำเลยยอมรับเงินและยอมคืนสัญญาให้โจทก์ สิทธิของจำเลยเหนือที่พิพากก็สิ้นไป การต้องคืนที่พิพาทจึงเป็นเงาตามตัว ซึ่งเป็นโจทก์จำเลยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นการระงับข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า เอกสารหมาย จ.๑ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน