แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดิน น.ส.3 ก. เป็นทรัพย์สินของ ส.ซึ่งเป็นบุตรของม.ที่เกิดกับสามีคนเดิม ส่วนโจทก์เป็นบุตรของม.กับสามีคนใหม่จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของอ.กับ สามีเดิมของม. จำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นบุตรของจำเลยที่ 1ส.ถึงแก่ความตายโดยไม่มีบุตรและภริยา และศาลมีคำสั่งตั้งม.เป็นผู้จัดการมรดกของส. ม.ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยเสน่หาเมื่อปรากฏว่า ส. ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1การมีชื่อใน น.ส.3 ก. ของโจทก์โดยรับโอนให้มาโดยเสน่หาจาก ม. ผู้จัดการมรดกของส. แต่มิได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งต่างกับจำเลยที่ 1 ที่ได้ยึดถือที่ดินที่ได้รับการยกให้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน จำเลยที่ 1จึงได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 และมาตรา 1369การกระทำของจำเลยทั้งสามที่ตัดฟันต้นยางพารา ซึ่งเป็น ไม้ยืนต้นซึ่งเป็นส่วนควบกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 145 จึงหาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามและบุคคลอื่น ๆ ได้ตัดโค่นต้นยางพาราของโจทก์ที่ปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์จนหมด แล้วนำไปขายให้แก่บุคคลภายนอกอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงิน 800,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินและต้นยางพาราที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสาม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน 400,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เดิมที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 88ตำบลทุ่งเตา อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานีพร้อมต้นยางพาราพิพาท เป็นทรัพย์สินของนายสง่า นาคกุลหรือนาคสกุล ซึ่งเป็นบุตรของนางม้อย สุวิสุทธิ์ ที่เกิดกับนายสรวง นาคสกุล สามีคนเดิมส่วนโจทก์เป็นบุตรของนางม้อยกับนายเต้ง สุวิสุทธิ์ สามีคนใหม่ จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนางอิ่มกับนายสรวง นาคสกุล จำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 วันที่ 30 กันยายน 2532 นายสง่าถึงแก่ความตายโดยไม่มีบุตรและภริยา วันที่ 4 มีนาคม 2534ศาลมีคำสั่งตั้งนางม้อยเป็นผู้จัดการมรดกของนายสง่าวันที่ 4 กรกฎาคม 2534 นางม้อยขอออกใบแทน น.ส.3 ก.เลขที่ 88 แล้วจดทะเบียนโอนรับมรดกเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2534วันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 จดทะเบียนโอนให้โจทก์โดยเสน่หา
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามประเด็นแห่งคดีว่า ที่ดินพิพาทตามน.ส.3 ก. เลขที่ 88 ที่จำเลยทั้งสามโต้แย้งว่าเป็นของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นที่ดินของโจทก์มีสิทธิครอบครองหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ว่านายสง่ายกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 จึงมิได้เก็บ น.ส.3 ก.ไว้ที่บ้านนางม้อย การมีชื่อใน น.ส.3 ก. ของโจทก์โดยรับโอนให้มาโดยเสน่หาและมิได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งต่างกับจำเลยที่ 1 ที่ได้ยึดถือที่ดินที่ได้รับการยกให้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน จำเลยที่ 1 จึงได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 และมาตรา 1369 ส่วนการกระทำของจำเลยทั้งสามที่ตัดฟันต้นยางพาราซึ่งเป็นไม้ยืนต้นซึ่งเป็นส่วนควบกับที่ดินของจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 จึงหาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่
พิพากษายืน