คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2225/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่าได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายหลังวันที่เจ้าพนักงานศาลผู้ส่งหมายระบุไว้ในรายงาน โดยมิได้โต้แย้งคัดค้านหรือให้เหตุผลว่ารายงานดังกล่าวขัดต่อความเป็นจริงหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใดนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ปราศจากเหตุผลอ้างอิงที่อาจจะหักล้างหลักฐานรายงานของเจ้าพนักงานศาลได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยเพื่อรับคำให้การไว้พิจารณาต่อไป.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้ยืมแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2528 แต่ยื่นคำให้การในวันที่ 3 เมษายน 2528 พ้นกำหนดยื่นคำให้การ จึงไม่รับคำให้การของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2528 คำให้การของจำเลยทั้งสองจึงยื่นภายในกำหนด ขอให้ไต่สวน และรับคำให้การของจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามรายงานของเจ้าพนักงานศาลผู้ส่งหมายรายงานไว้ชัดว่า ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2528 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง พบแต่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้รับหมายไว้ด้วยตนเองและรับไว้แทนจำเลยที่ 1 เพราะอยู่บ้านเดียวกันตามหลักฐานดังกล่าวย่อมเป็นการเพียงพอที่จะถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้แล้วโดยชอบตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2528 การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอ้างว่าได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่26 มีนาคม 2528 โดยมิได้โต้แย้งคัดค้านหรือให้เหตุผลว่ารายงานของเจ้าพนักงานศาลที่ส่งหมายแก่จำเลยทั้งสองดังกล่าวขัดต่อความเป็นจริงหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใดนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ปราศจากเหตุผลอ้างอิงที่อาจจะหักล้างหลักฐานรายงานของเจ้าพนักงานศาลได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยเพื่อรับคำให้การไว้พิจารณาต่อไป
พิพากษายืน.

Share