แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยในฐานะผู้ให้กู้ยืมจะไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 241 เพราะหนี้เงินกู้ไม่เกี่ยวกับตัวทรัพย์พิพาท แต่เมื่อข้อตกลงตามสัญญากู้ระบุให้ผู้ให้กู้มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทไว้เป็นประกันจนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้เป็นข้อตกลงที่คู่สัญญาสมัครใจทำกันไว้ ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนย่อมมีผลบังคับ ผู้ให้กู้จึงมีสิทธิยึดถือทรัพย์ที่นำมาประกันไว้จนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอโฉนดที่ดิน และหนังสือสัญญากู้เงินคืนจนกว่าโจทก์จะได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6488 ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ (ที่ถูก กิ่งอำเภอศรีนครินทร์)จังหวัดพัทลุง และโฉนดที่ดินเลขที่ 37061 ตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช คืนแก่โจทก์ กับให้จำเลยคืนหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือให้หนังสือสัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะ
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องโจทก์และขอให้บังคับโจทก์ชำระหนี้เงินกู้ 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำหนังสือสัญญากู้เงินไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องแย้งเป็นเวลา 10 เดือน เป็นเงิน 28,125 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6488 ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ (ที่ถูก กิ่งอำเภอศรีนครินทร์) จังหวัดพัทลุง และโฉนดที่ดินเลขที่ 37061 ตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช กับหนังสือสัญญากู้เงินพิพาทคืนแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้โจทก์ชำระเงินต้น 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2550 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ดอกเบี้ยคิดคำนวณถึงวันฟ้องแย้งต้องไม่เกิน 28,125 บาท ตามที่จำเลยขอ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลเป็นเงิน 6,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้วให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6488 ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ (ที่ถูก กิ่งอำเภอศรีนครินทร์) จังหวัดพัทลุง และโฉนดที่ดินเลขที่ 37061 ตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช กับหนังสือสัญญากู้เงินพิพาทคืนแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์มอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6333 ตำบลบ้านนา กิ่งอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง พร้อมลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญากู้เงินเพื่อให้นางนอม ไปกู้เงินแทนโจทก์เพราะต้องการเงินมาเลี้ยงสุกร วันที่ 12 พฤษภาคม 2550 โจทก์ได้ไปติดต่อขอโฉนดที่ดินเลขที่ 6333 คืนจากนายเจริญ บิดาจำเลย ต่อมาวันรุ่งขึ้นโจทก์ได้ทำสัญญากู้เงินจำนวน 450,000 บาท จากจำเลย โดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6488 ตำบลบ้านนา กิ่งอำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง และโฉนดที่ดินเลขที่ 37061 ตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้จำเลยไว้เป็นหลักประกัน นายเกื้อกูล บุตรเขยโจทก์เป็นผู้เขียนสัญญาและนางมัลลิกา บุตรสาวโจทก์เป็นพยานตามหนังสือสัญญากู้เงินและโฉนดที่ดิน หลังจากทำสัญญากู้เงินแล้ว นายเจริญได้มอบโฉนดที่ดิน พร้อมหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญากู้เงิน คืนให้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม 2550 โจทก์ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานว่านางนอมได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 6333 ของโจทก์ไป เป็นเหตุให้โจทก์ต้องทำสัญญากู้เงินจากนางสาวพรพิไล เป็นเงิน 450,000 บาท ตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน และวันที่ 5 กรกฎาคม 2550 โจทก์ฟ้องนางนอมในข้อหาฉ้อโกงตามสำเนาคำฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้องนางนอมแล้วดำเนินการฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอโฉนดที่ดินและหนังสือสัญญากู้เงิน คืนจากจำเลยได้หรือไม่ คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์มอบอำนาจให้นางนอมไปกู้เงินแทนโจทก์เพื่อนำเงินมาเลี้ยงสุกร โดยโจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญากู้เงิน มอบให้นางนอมไปพร้อมโฉนดที่ดิน ปรากฏว่าโฉนดที่ดิน พร้อมหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญากู้เงิน อยู่ในการยึดถือครอบครองของนายเจริญบิดาจำเลย ทำให้น่าเชื่อว่านางนอมไปกู้เงินจากนายเจริญแทนโจทก์ โฉนดที่ดิน พร้อมหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญากู้เงิน จึงไปอยู่ในการยึดถือครอบครองของนายเจริญและโจทก์ย่อมทราบเรื่องนี้ดีจึงได้ไปติดต่อนายเจริญเพื่อขอโฉนดที่ดินคืน ซึ่งสอดคล้องกับทางนำสืบของจำเลย หากนางนอมไม่ได้ไปขอกู้เงินนายเจริญแทนโจทก์จริง โจทก์ก็สามารถแจ้งความร้องทุกข์หรือดำเนินการฟ้องร้องเรียกโฉนดที่ดินคืนจากนายเจริญได้ โดยไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะต้องทำสัญญากู้เงิน และมอบโฉนดที่ดินไว้กับจำเลยเพื่อที่จะได้โฉนดที่ดินคืนจากนายเจริญ แต่เหตุการณ์กลับปรากฏว่าหลังจากโจทก์ทำสัญญากู้เงินจากจำเลยแล้ว โจทก์ได้ไปแจ้งความเป็นหลักฐานว่านางนอมได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 6333 ของโจทก์ไป เป็นเหตุให้โจทก์ต้องทำสัญญากู้เงินจากนางสาวพรพิไลเป็นเงิน 450,000 บาท และโจทก์ได้ฟ้องนางนอมในข้อหาฉ้อโกง แต่กลับถอนฟ้องนางนอมแล้วมาดำเนินคดีกับจำเลยเป็นคดีนี้ทั้ง ๆ ที่โจทก์สามารถดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์หรือดำเนินการฟ้องร้องนางนอมและนายเจริญได้ทันทีโดยไม่จำต้องไปทำสัญญากู้เงินแต่อย่างใด พฤติการณ์ของโจทก์ส่อแสดงให้เห็นว่าล้วนแต่ดำเนินการไปด้วยเจตนาไม่สุจริต ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้เงิน นั้น ปรากฏว่าในสัญญากู้เงิน มีข้อความระบุว่าข้าพเจ้าได้รับเงินไปครบถ้วนเสร็จแล้วตั้งแต่วันทำสัญญานี้ โดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนแต่อย่างใด ประกอบกับศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้วินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยโดยให้เหตุผลและรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ชอบแล้ว ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญากู้เงิน จากจำเลยโดยมอบโฉนดที่ดินไว้เป็นหลักประกัน แม้จำเลยในฐานะผู้ให้กู้ยืมจะไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 เพราะหนี้เงินกู้ไม่เกี่ยวกับตัวทรัพย์พิพาท แต่เมื่อข้อตกลงตามสัญญากู้ระบุให้ผู้ให้กู้มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทไว้เป็นประกันจนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้ เป็นข้อตกลงที่คู่สัญญาสมัครใจทำกันไว้ ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมมีผลบังคับ ผู้ให้กู้จึงมีสิทธิยึดถือทรัพย์ที่นำมาประกันไว้จนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอโฉนดที่ดิน และหนังสือสัญญากู้เงินคืนจนกว่าโจทก์จะได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ