คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้เบิกสินค้าต่าง ๆ ไปจากโจทก์นำไปขายคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 1,551,387.40 บาท แต่จำเลยได้ส่งสินค้าคืนหักค่าใช้จ่ายค่าของแถม และส่งเงินสดให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 1,412,710.30 บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยยังไม่ได้ส่งให้โจทก์รวม 138,677.10 บาท และเงินค่าสินค้าที่จำเลยเบิกไปขายซึ่งยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ยกมาจากปีก่อนอีกรวม 39,728 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 177,955.10 บาท ปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับของแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในวันพิจารณาต่อไป ดังนี้ โจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 เบิกรับไปจากโจทก์ไปขายนั้น เป็นสินค้าอะไร จำนวนและราคาเท่าใด ได้ส่งสินค้าอะไร จำนวนและราคาเท่าใดคืน จึงรวมเป็นเงินที่จำเลยส่งคืนแล้วและจำนวนเงินที่จำเลยยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง ทั้งมิได้แนบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับสินค้าที่จำเลยรับไปและส่งคืนมาท้ายคำฟ้อง ที่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในชั้นพิจารณาต่อไปนั้น แม้ภายหลังโจทก์จะส่งพยานหลักฐานดังกล่าวต่อศาล พยานหลักฐานนั้นก็มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องจะเอามาพิจารณาประกอบคำฟ้องหาได้ไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นพนักงาน (ลูกจ้าง) ของบริษัทโจทก์ทำงานในตำแหน่งพนักงานขายได้เบิกรับสินค้าต่าง ๆ จากบริษัทโจทก์นำไปขายระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๑๙ รวม ๑๑๒ ครั้ง คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๕๕๑,๓๘๗.๕๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ ได้ส่งสินค้าคืน หักค่าใช้จ่าย ค่าของแถม และส่งเงินสดให้บริษัทโจทก์แล้วระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๑๙ รวมเป็นเงิน ๑,๔๑๒,๗๑๐.๓๐ บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ส่งรวม ๑๓๘,๖๗๗.๑๐ บาท และเงินค่าสินค้าซึ่งจำเลยเบิกรับไปขายซึ่งยังไม่ได้ส่งยกมาจากปี ๒๕๑๘ อีกรวม ๓๙,๒๗๘ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๗๗,๙๕๕.๑๐ บาท ปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับของแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำ ส่งศาลในชั้นพิจารณาต่อไป เงินจำนวน ๑๗๗,๙๕๕.๑๐ บาทนี้ จำเลยที่ ๑ ยังมิได้นำส่งให้โจทก์เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์ขอค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ถ้าหากจำเลยที่ ๑ กระทำความเสียหายเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินเป็นต้นว่า ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยที่ ๒ ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแทนภายในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทด้วย โจทก์ได้ทวงถามหลายครั้งแล้ว จำเลยทั้งสองไม่จัดการชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ย จึงขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันและแทนกันชำระเงินค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยทั้งสองไม่สามารถทราบได้ว่าได้เบิกสินค้าอะไรไปจากโจทก์เมื่อใด รวม ๑๑๒ ครั้ง เป็นเงินจำนวนเท่าใด และครั้งใดได้เบิกสินค้าอะไรไป ครั้งใดได้ส่งเงินแล้วและครั้งใดยังไม่ส่งเงิน เงินค่าสินค้าที่จำเลยเบิกรับไปขายซึ่งยังไม่ได้ส่งให้บริษัทโจทก์ยกมาจากปี ๒๕๑๘ อีกรวม ๓๙,๒๗๘ บาท นั้นมีอะไรบ้าง จำเลยทั้งสองจึงไม่สามารถต่อสู้คดีได้ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยเบิกสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ได้ส่งเงินหรือไม่ จำเลยที่ ๑ ก็ได้ส่งสินค้าที่เบิกมาแก่โจทก์แล้ว ไม่เคยมีการติดค้างแต่อย่างใด หนังสือค้ำประกันที่จำเลยที่ ๒ ให้ไว้กับโจทก์มีความว่าถ้าหากจำเลยที่ ๑ กระทำความเสียหายเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินเป็นต้นว่าฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์สิน จำเลยที่ ๒ ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแทนภายในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นั้น ตามฟ้องไม่ปรากกว่าจำเลยฉ้อโกงหรือยักยอกแต่อย่างใด จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด ถึงแม้ว่าจะต้องรับผิดก็เพียงในวงเงินจำนวนไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๑ มรณะ ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรค ๒ บังคับว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่ง (๑) สภาพแห่งข้อหา (๒) คำขอบังคับ และ (๓) ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแหล่งข้อหา คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแสดงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ เบิกสินค้าต่าง ๆ ไปจากบริษัทโจทก์นำไปขายระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๑๙ รวม ๑๑๒ ครั้ง คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๕๕๑,๓๘๗.๔๐ บาทแต่จำเลยที่ ๑ ได้ส่งสินค้าคืนหักค่าใช้จ่าย ค่าของแถม และส่งเงินสดให้โจทก์แล้ว ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๑๙ รวมเป็นเงิน ๑,๔๑๒,๗๑๐.๓๐ บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ส่งให้โจทก์รวม ๑๓๘,๖๗๗.๑๐ บาท และเงินค่าสินค้าที่จำเลยเบิกไปขายซึ่งยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ยกมาจากปี ๒๕๑๘ อีกรวม ๓๙,๗๒๘ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๗๗,๙๕๕.๑๐ บาท ปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับของแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในวันพิจารณาต่อไป เงินจำนวน ๑๗๗,๙๕๕.๑๐ บาทนี้ จำเลยที่ ๑ ยังมิได้นำส่งโจทก์ โจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าสินค้าที่จำเลยที่ ๑ เบิกรับไปจากโจทก์ไปขายนั้น เป็นสินค้าอะไร จำนวนและราคาเท่าใด ได้ส่งสินค้าอะไร จำนวนและราคาเท่าใดคืน จึงรวมเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ ส่งคืนแล้ว และจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง ทั้งมิได้แนบสำเนาเอกสารเกี่ยวกับสินค้าที่จำเลยที่ ๑ รับไปและส่งคืนมาท้ายคำฟ้องอันจะพึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ รับสินค้าอะไร จำนวน และราคาเท่าใดไปขายและส่งสินค้าอะไร จำนวนและราคาเท่าใดคืน ที่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าปรากฏตามพยานหลักฐาน (ใบรับแผนกแคชเซล) ซึ่งโจทก์จะได้นำส่งศาลในชั้นพิจารณาต่อไปนั้น แม้ภายหลังโจทก์จะส่งพยานหลักฐานดังกล่าวต่อศาลพยานหลักฐานนั้นก็มิใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้อง จะเอามาพิจารณาประกอบคำฟ้องหาได้ไม่ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรค ๒ ไม่จำต้องพิเคราะห์ฎีกาข้ออื่นต่อไป
พิพากษายืน

Share