คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นซึ่งมีลูกกระสุนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 มิลลิเมตร ยิงนาย ค. ในระยะ 3 วา มีรอยกระสุนปืน 4 แห่ง ๆ ละ 1 แผลคือที่แขนซ้าย ก้นกบ ข้างตะโพกซ้าย และที่ขาขวา จากการถ่ายภาพรังษีพบมีกระสุนปืนในเนื้อเยื่อแห่งละ 1 นัด รักษาตัวในโรงพยาบาล 4 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะหายใน 14 วัน และจำเลยได้ยิงนาย ส. มีรอยกระสุนหลายรอยที่บริเวณตะโพกซ้าย บริเวณรอบแผลบวมและช้ำ รักษาตัวในโรงพยาบาล 7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะหายใน 20 วัน และได้ความจากแพทย์ว่าถ้าผู้เสียหายทั้งสองไม่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลทันทีและมีโลหิตออกมากเกินควรอาจถึงแก่ชีวิตได้แสดงว่าอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงมีประสิทธิภาพร้ายแรง อาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แม้จะถูกอวัยวะในที่ซึ่งไม่สำคัญ กรณีจึงต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายสุวรรณ แสงบุญ ผู้เสียหายในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1297/2513 และยิงนายคนอง ขัติยะ ผู้เสียหายในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1298/2513 อีกสำนวนหนึ่ง โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกนายสุวรรณที่บริเวณตะโพกและถูกนายคนองตามร่างกายหลายแห่งรักษา 7 วัน และ 4 วันตามลำดับ จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกร่างกายส่วนสำคัญและได้รับการรักษาทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และนับโทษจำเลยติดต่อกัน

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นจำเลยคนเดียวกับในคดีอาญาทั้งสองสำนวน

ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดดังฟ้องทั้งสองสำนวน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและแต่ละกระทงมีโทษหนักเท่ากัน จึงลงโทษเพียงกระทงเดียว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำเลยอายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 76 คงจำคุก 8 ปี คำขอนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงไม่อาจทำให้ผู้ถูกยิงถึงตายได้ จึงพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 81 และ 76 ให้จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายฟังได้ว่าเป็นปืนลูกซองสั้น จำเลยยิงนายคนองผู้เสียหายในระยะ 3 วา และยิงนายสุวรรณผู้เสียหายในระยะ 2 วา ปรากฎตามรายงานชันสูตรบาดแผลของนายคนองผู้เสียหายว่ามีรอยแผลกระสุนปืน 4 แห่ง ๆ ละ 1 แผล คือ ที่ต้นแขนซ้าย ก้นกบ ข้างตะโพกซ้าย และที่ขาขวาด้านหลัง จากการถ่ายภาพรังสีพบมีกระสุนปืนในเนื้อเยื่อแห่งละนัดในที่ดังกล่าวรักษาตัวในโรงพยาบาล 4 วัน อาการดี และตามรายงานชันสูตรบาดแผลของนายสุวรรณผู้เสียหายปรากฏว่า มีรอยกระสุนปืนหลายรอยที่บริเวณตะโพกด้านซ้าย บริเวณรอบแผลบวมและช้ำ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 7 วันอาการดี นายแพทย์ประโยชน์ พุทธิรักษ์กุล ประจำโรงพยาบาลนครเชียงใหม่ซึ่งเป็นผู้ตรวจรักษาบาดแผลของผู้เสียหายเบิกความประกอบว่า นายคนองผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 4 วัน เห็นว่าทุเลาจึงให้กลับไปรักษาตัวต่อไป ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะหายใน 14 วัน และบาดแผล นายสุวรรณผู้เสียหายเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วรักษาต่อไป ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนจะหายใน 20 วัน นายสุวรรณผู้เสียหายเบิกความว่า ต้องไปรักษาตัวที่บ้านอีก 1 เดือนเศษ แผลจึงหาย และได้ความจากคำเบิกความของนายแพทย์ประโยชน์อีกว่า บาดแผลของผู้เสียหายทั้งสองจากการถ่ายภาพรังสีซึ่งกระสุนปืนฝังในเนื้อเยื่อเป็นกระสุนปืนชนิดเดียวกัน มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 มิลลิเมตรถ้าผู้เสียหายทั้งสองไม่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลทันทีและมีโลหิตออกมากเกินควร อาจถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะบาดแผลของผู้เสียหายดังนี้ย่อมแสดงว่าอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายนั้น เป็นอาวุธปืนที่มีสิทธิภาพร้ายแรงมาก กระสุนปืนมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 มิลลิเมตร อาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้หากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลทันท่วงที แม้จะถูกอวัยวะในที่ซึ่งไม่สำคัญ กรณีจึงต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share