คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6646/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ร้อยละ 18 ต่อปี ตามสัญญาข้อ 2 อยู่แล้วส่วนการที่สัญญาข้อ 4 กำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไว้ร้อยละ 21 ต่อปี ก็คือการที่จำเลยที่ 1สัญญาให้เบี้ยปรับในฐานผิดสัญญากู้เงินในอัตราร้อยละ 3 ต่อปีซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ให้การถึงและศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดปัญหาเรื่องนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในคดีก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์เป็นเงิน15,800,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ชำระเงินต้นคืนทุก 3 เดือน โดยผ่อนชำระเป็นงวด งวดละ 1,580,000 บาท และชำระดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือน หากผิดนัดชำระหนี้เงินต้นหรือดอกเบี้ยงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด และยอมให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 5 แปลงเป็นประกันหนี้ดังกล่าว โจทก์ส่งมอบเงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 1หลายครั้งรวมเป็นเงิน 14,152,000 บาท หลังจากจำเลยที่ 1รับเงินจากโจทก์ไปแล้วมิได้ผ่อนชำระเงินต้น ส่วนดอกเบี้ยเริ่มค้างชำระในเดือนมีนาคม 2535 โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสี่และบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 16,993,996.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปีของต้นเงิน 14,152,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชดใช้ส่วนที่ขาดจนครบ
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 รับเงินกู้จากโจทก์ไม่ถึง 14,152,000 บาท เนื่องจากพนักงานของโจทก์สมคบกับบุคคลอื่นส่งมอบเงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ครบถ้วน จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิดเต็มตามฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1เบิกเงินกู้ไปจากโจทก์รวม 14,152,000 บาท ยังไม่ครบจำนวนเงินที่โจทก์อนุมัติให้กู้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเรียกเงินกู้ทั้งหมดคืนเพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 1เบิกเงินกู้จากโจทก์จำนวนน้อยกว่าที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน14,152,352.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้น 14,152,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่มิให้คิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องเกินกว่าที่โจทก์ขอจำนวน 2,841,644.05 บาท หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองได้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 2793, 3044 ตำบลบางพลีอำเภอเสนาน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโฉนดเลขที่ 22681,13417, 13418 ตำบลบางพลี อำเภอบางไทร (เสนาน้อย)จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 14,152,000 บาท นับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 1 เมษายน 2535 หรือไม่ เห็นว่า สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.19 มีข้อตกลงในการชำระดอกเบี้ยไว้ในสัญญา ข้อ 2และข้อ 4 โดยข้อ 2 ระบุว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันทำสัญญาเป็นต้นไปโดยกำหนดส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ทุกวันที่สิ้นเดือนและข้อ 4 ระบุว่าถ้าผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้เงินต้นหรือดอกเบี้ย ผู้กู้ยอมให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดและยอมให้โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดคืนทันที และยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีของเงินต้นที่ค้างชำระทั้งหมดไปจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน จากข้อสัญญาทั้ง 2 ข้อดังกล่าวจะเห็นได้ว่า สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.19 นี้ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ร้อยละ 18 ต่อปีตามสัญญาข้อ 2 อยู่แล้วการที่สัญญาข้อ 4 กำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในกรณีที่จำเลยที่ 1ผิดนัดไว้ว่า ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีนั้นก็คือการที่จำเลยที่ 1 สัญญาให้เบี้ยปรับในฐานผิดสัญญากู้เงินแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปีนั่นเอง ซึ่งเบี้ยปรับนี้ถ้าศาลเห็นว่าสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้วเห็นว่า โจทก์นำสืบเพียงว่า ขณะฟ้องคดีโจทก์เรียกดอกเบี้ยจากลูกค้าชั้นดีอัตราร้อยละ 12 ต่อปี และเรียกดอกเบี้ยได้สูงสุดในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ตามประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่เรียกจากลูกค้าเอกสารหมาย จ.42 แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นั้น ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร จึงเห็นสมควรลดดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเพิ่มในกรณีผิดนัดจากอัตราร้อยละ 3 ต่อปีเป็นให้ชำระดอกเบี้ยเพิ่มในอัตราร้อยละ 1 ต่อปีรวมเป็นดอกเบี้ยที่ต้องชำระร้อยละ 19 ต่อปี ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดให้เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วนส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ให้การเรื่องอัตราดอกเบี้ยเมื่อผิดนัดชำระหนี้ไว้ จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี หรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลมีอำนาจในการยกตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการลดเบี้ยปรับมาใช้ปรับแก่คดีเป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 เมื่อเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ แม้จำเลยที่ 2และที่ 3 ไม่ได้ให้การถึงและศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดปัญหาเรื่องนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในคดีก็ตาม ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share