คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5095-5099/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยมิได้กำหนดคำนิยามของคำว่า “ค่าจ้าง”และ”ค่าแรง” ไว้ นอกจากนี้ในข้อบังคับดังกล่าวใช้คำว่าค่าจ้างและค่าแรง ปะปนกันไม่แน่นอน เป็นต้นว่า ข้อ 4.3 การเข้าทำงานสายจะถูกตัดค่าแรงลงตามส่วน แต่ในข้อ 4.4 ในวันหยุดตามประเพณีพนักงานมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับวันทำงานตามปกติและในข้อ 5 เกี่ยวกับเรื่อง การทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุด และการจ่ายค่าแรง ก็ระบุไว้ในข้อ 5.1 ว่า พนักงานทำงานเกินเวลาปกติจะได้รับค่าล่วงเวลาหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในการทำงานตามปกติสำหรับเวลาที่ทำงานเกิน ดังนี้ค่าแรงก็คือค่าจ้างที่เอามาเฉลี่ยคิดให้เป็นวันหรือชั่วโมงนั่นเอง การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าค่าแรง ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมายถึงค่าจ้างจึงชอบแล้ว
เงินค่าตำแหน่งและค่าครองชีพที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างทุกคนที่อยู่ในเกณฑ์มีสิทธิได้รับเป็นการประจำและมีจำนวนแน่นอนจึงเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เงินทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2
เงินค่าที่พักที่จำเลยจ่ายช่วยเหลือลูกจ้างที่ไม่มีที่พักเป็นของตนเอง ลูกจ้างที่มีที่พักแล้วจะไม่มีสิทธิได้รับเงินประเภทนี้ เงินค่าที่พักดังกล่าวจึงเป็นเพียงเงินสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หาใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานไม่
เมื่อตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยไม่มีข้อยกเว้นมิให้นับระยะเวลาการทดลองงานรวมเข้ากับระยะเวลาทำงานหลังจากได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินตอบแทนพิเศษ หากจำเลยไม่ต้องการให้นับระยะเวลาทดลองงานดังกล่าวรวมเข้าด้วย จำเลยก็น่าจะระบุไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวให้ชัดแจ้ง ซึ่งจำเลยสามารถจะทำได้อีกประการหนึ่งเมื่อจำเลยออกใบผ่านงานให้โจทก์ที่ 3 จำเลยก็ระบุว่าโจทก์ที่ 3 ทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันแรกที่โจทก์ที่ 3 เข้าทำงานทดลองงานกับจำเลย ด้วยเหตุนี้จึงต้องถือว่าระยะเวลาทดลองงานเป็นส่วนหนึ่งของระยะเวลาทำงานที่ต้องนำมารวมคำนวณเงินตอบแทนพิเศษสำหรับโจทก์ที่ 3 ด้วย

ย่อยาว

คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 5

โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินตอบแทนพิเศษแก่โจทก์ทั้งห้า

จำเลยทั้งห้าสำนวนให้การว่า ตามระเบียบข้อบังคับจำเลยจะจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้พนักงานของจำเลยเมื่อมีมติคณะกรรมการของจำเลยให้จ่าย กรณีของโจทก์ทั้งห้าไม่มีมติคณะกรรมการของจำเลยให้จ่าย และเงินดังกล่าวเป็นการให้โดยเสน่หาเมื่อจำเลยไม่ได้มอบทรัพย์สินที่ให้จึงไม่สมบูรณ์ อีกทั้งการคำนวณเงินดังกล่าวคิดจากค่าแรงแท้จริงเพียงอย่างเดียวโดยไม่รวมเงินอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างเข้ามาคิดรวมด้วย โจทก์ที่ 1 ได้รับค่าแรงวันละ 215 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับค่าแรงเดือนละ5,185 บาท โจทก์ที่ 3 ได้รับค่าแรงเดือนละ 5,400 บาท โจทก์ที่ 4 ได้รับค่าแรงวันละ167 บาท และโจทก์ที่ 5 ได้รับค่าแรงวันละ 125 บาท นอกจากนี้โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3ทำงานกับจำเลยยังไม่ครบ 10 ปี โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตอบแทนพิเศษจากจำเลยตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ยังไม่มีมติคณะกรรมการของจำเลยให้จ่ายเงินตอบแทนพิเศษแก่โจทก์ทั้งห้า โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีแผนกคดีแรงงานพิจารณาแล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยกำหนดระยะเวลาทำงานของโจทก์ที่ 3 และจำนวนเงินตอบแทนพิเศษที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิได้รับแล้วพิพากษาใหม่

ศาลแรงงานกลางพิจารณาใหม่แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 3 ทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2526 ถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2536 ซึ่งรวมระยะเวลาทำงานของโจทก์ที่ 3แล้วเป็นเวลาเกิน 10 ปี โจทก์ที่ 3 จึงมีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษจากจำเลยไม่น้อยกว่า300 วันของค่าแรงอัตราสุดท้าย ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย ข้อ 24.7 ในเอกสารหมาย ล.3 ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นว่า ไม่ให้รวมระยะเวลาทดลองงานเข้าในระยะเวลาทำงานที่จะนำมาเป็นเกณฑ์พิจารณากำหนดเงินตอบแทนพิเศษดังกล่าว คำว่า “ค่าแรง” ตามข้อ 24.7 ในเอกสารหมาย ล.3 ที่จำเลยใช้มีความหมายถึง “ค่าจ้าง” เงินที่จะนำมาเป็นฐานคำนวณการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษจึงต้องนำค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าตำแหน่ง ค่าครองชีพ และค่าที่พักมารวมคำนวณ โจทก์ที่ 1 ได้รับค่าจ้างวันละ 215 บาท ค่าตำแหน่งวันละ 13.33 บาท ค่าครองชีพวันละ 5.33 บาท ค่าที่พักวันละ 6.67 บาท รวมวันละ 240.33 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับค่าจ้างวันละ 173 บาท ค่าตำแหน่งวันละ 26.67 บาท ค่าครองชีพวันละ 5.33 บาท ค่าที่พักวันละ 6.67 บาท ค่าตำแหน่งวันละ 26.67 บาทค่าครองชีพวันละ 5.33 บาท ค่าที่พักวันละ 6.67 บาท โจทก์ที่ 4 ได้รับค่าจ้างวันละ 167บาท ค่าตำแหน่งวันละ 13.33 บาท ค่าครองชีพวันละ 5.33 บาท ค่าที่พักวันละ 6.67บาท รวมวันละ 192.33 บาท โจทก์ที่ 5 ได้รับค่าจ้างวันละ 125 บาท ค่าครองชีพวันละ5.33 บาท ค่าที่พักวันละ 6.67 บาท รวมวันละ 137 บาท โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 ทำงานกับจำเลยคนละเกิน 10 ปีแล้วลาออก มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษ 300 วันของค่าแรง (ค่าจ้าง) ขณะนั้น โจทก์ที่ 1 จะได้รับเงินตอบแทนพิเศษเป็นเงิน 72,099 บาทโจทก์ที่ 3 จะได้รับเป็นเงิน 65,601 บาท ส่วนโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 4 และโจทก์ที่ 5 ทำงานกับจำเลยครบคนละ 5 ปี มีสิทธิได้รับเงินตอบแทนพิเศษจากจำเลยคนละ 50 วันของค่าแรง (ค่าจ้าง) ขณะนั้นโจทก์ที่ 2 จะได้รับจำนวน 10,583.50 บาท โจทก์ที่ 4 จะได้รับจำนวน 9,616.50 บาท และโจทก์ที่ 5 จะได้รับจำนวน 6,850 บาท พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 72,099 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 10,583.50 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 65,601 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 9,616.50 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 4 และจำนวน 6,850 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 5

จำเลยทั้งห้าสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าที่ศาลแรงงานกลางฟังว่า “ค่าแรง” ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อ 24.7 ในเอกสารหมาย ล.3 ที่จำเลยใช้มีความหมายถึง “ค่าจ้าง” นั้นไม่ถูกต้องเพราะ “ค่าแรง” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของค่าจ้าง”ค่าแรง” จึงต้องหมายถึง ผลตอบแทนแรงงานตามที่รับจ้างโดยตรงเท่านั้น ส่วนโทษของการที่จะถูกตัดค่าจ้างหรือคิดค่าเสียหายตามข้อ 17 มีอยู่ 5 ประการ ตั้งแต่ ข้อ 17.1 ถึงข้อ 17.5 ลักษณะของการกระทำความผิดในข้อนี้ได้แก่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชิ้นงานเครื่องมือเครื่องจักรต่อสินค้า การทำลายทรัพย์สิน ฯลฯ การลงโทษในการกระทำความผิดดังกล่าวได้แก่การตัดค่าจ้างหรือคิดค่าเสียหาย ซึ่งเมื่อนำลักษณะของการกระทำความผิดในข้อ 15 อันเป็นการกระทำความผิดต่อกฎระเบียบวินัย กับลักษณะของการกระทำความผิดในข้อ 17 มาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ชัดว่าเป็นลักษณะความผิดที่แตกต่างกันการลงโทษจึงแตกต่างกัน ไม่จำต้องมีบทวิเคราะห์ของคำว่า “ค่าแรง” กับ “ค่าจ้าง” ไว้ในเอกสารหมาย ล.3 ตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย การจ่ายเงินตอบแทนพิเศษจึงต้องคิดจากค่าแรงเท่านั้น เห็นว่า ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเอกสารหมายล.3 มิได้กำหนดคำนิยามของคำว่า “ค่าจ้าง” และ “ค่าแรง” ไว้ ในข้อบังคับดังกล่าวใช้คำว่า ค่าจ้าง และค่าแรง ปะปนกันไม่แน่นอน เป็นต้นว่า ข้อ 4.3 การเข้าทำงานสายจะถูกตัดค่าแรงลงตามส่วนแต่ในข้อ 4.4 ในวันหยุดตามประเพณีพนักงานมีสิทธิได้รับค่าจ้างเท่ากับวันทำงานตามปกติ และในข้อ 5 เกี่ยวกับเรื่อง การทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุดและการจ่ายค่าแรง ก็ระบุไว้ในข้อ 5.1 ว่า พนักงานทำงานเกินเวลาปกติจะได้รับค่าล่วงเวลาหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในการทำงานตามปกติสำหรับเวลาที่ทำงานเกิน จากข้อบังคับดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า ค่าแรงก็คือค่าจ้างที่เอามาเฉลี่ยคิดให้เป็นวันหรือชั่วโมงนั่นเอง ดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ค่าแรงตามข้อ 24.7 หมายถึงค่าจ้าง และจะต้องนำเงินต่าง ๆ ทั้งหมดที่ถือว่าเป็นค่าจ้างมาเป็นฐานคำนวณเงินตอบแทนพิเศษ จึงชอบแล้ว

จำเลยอุทธรณ์ข้อสองว่า ค่าตำแหน่ง เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้ลูกจ้างประจำของจำเลย เมื่อลูกจ้างสามารถทำงานจนเลื่อนขั้นถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ก็จะได้รับเงินค่าตำแหน่ง ซึ่งได้รับเงินไม่เท่ากันทุกตำแหน่งและทุกคนเงินดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายเฉพาะผู้ที่อยู่ในเกณฑ์จะได้รับเท่านั้น ส่วนค่าครองชีพเป็นเงินช่วยเพื่อให้ความเป็นอยู่ของลูกจ้างดีขึ้น เป็นการจ่ายเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีลักษณะเป็นเงินสวัสดิการไม่ใช่เงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างทุกคนเพื่อตอบแทนการทำงานและไม่ได้คำนึงถึงผลงานของลูกจ้าง เพราะลูกจ้างของจำเลยได้รับเงินดังกล่าวเท่ากันทุกคน สำหรับ ค่าที่พักเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างไม่มีที่พักเป็นของตนเองเท่านั้น ลูกจ้างที่มีที่พักเป็นของตนเองไม่มีสิทธิได้รับเงินนี้ เงินทั้ง 3 ประเภทดังกล่าวจึงเป็นเงินที่จ่ายให้เฉพาะผู้ที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับ มิใช่เงินที่จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้างอันจะนำมาเป็นฐานคำนวณเงินตอบแทนพิเศษดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย เห็นว่า เงินค่าตำแหน่งและค่าครองชีพ เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างทุกคนที่อยู่ในเกณฑ์มีสิทธิได้รับเป็นการประจำและมีจำนวนแน่นอนจึงเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานเงินทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2 ซึ่งจะต้องนำมาเป็นฐานคำนวณเงินตอบแทนพิเศษด้วย ส่วนเงินค่าที่พักเป็นเงินที่จำเลยจ่ายช่วยเหลือลูกจ้างที่ไม่มีที่พักเป็นของตนเอง ลูกจ้างที่มีที่พักแล้วจะไม่มีสิทธิได้รับเงินประเภทนี้ เงินค่าที่พักดังกล่าวจึงเป็นเพียงเงินสวัสดิการที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หาใช่เงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานไม่ เงินค่าที่พักจึงไม่ใช่ค่าจ้างตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่อาจนำมารวมเป็นฐานคำนวณเงินตอบแทนพิเศษได้

จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า ในการคิดระยะเวลาทำงานเพื่อใช้คำนวณเงินตอบแทนพิเศษสำหรับโจทก์ที่ 3 จะนำระยะเวลาทดลองงานมารวมกับระยะเวลาทำงานหลังจากได้รับการบรรจุให้เป็นพนักงานประจำแล้วมิได้นั้น เห็นว่า ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเอกสารหมาย ล.3 ข้อ 24.7 ไม่มีข้อยกเว้นมิให้นับระยะเวลาการทดลองงานรวมเข้ากับระยะเวลาทำงานหลังจากได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคำนวณเงินตอบแทนพิเศษ หากจำเลยไม่ต้องการให้นับระยะเวลาทดลองงานดังกล่าวรวมเข้าด้วย จำเลยก็น่าจะระบุไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวให้ชัดแจ้ง ซึ่งจำเลยสามารถจะทำได้ อีกประการหนึ่งเมื่อจำเลยออกใบผ่านงานให้โจทก์ที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยก็ระบุว่าโจทก์ที่ 3 ทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2526 อันเป็นวันแรกที่โจทก์ที่ 3 เข้าทำงานทดลองงานกับจำเลย ด้วยเหตุนี้จึงต้องถือว่าระยะเวลาทดลองงานเป็นส่วนหนึ่งของระยะเวลาทำงานที่ต้องนำมารวมคำนวณเงินตอบแทนพิเศษสำหรับโจทก์ที่ 3 ด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 70,098 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน10,250 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 63,600 บาท แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 9,283 บาท แก่โจทก์ที่ 4 และจำนวน 6,516.50 บาท แก่โจทก์ที่ 5

Share