คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6643/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่างพอที่ประจักษ์พยานจะมองเห็นเหตุการณ์ได้แม้ท. เบิกความชั้นพิจารณาไม่ตรงกับพยานปากอื่นแต่ท. ก็เบิกความว่าในวันเบิกความจำหน้าคนร้ายไม่ได้แล้วและชั้นสอบสวนท. ชี้ตัวคนร้ายตรงกับคำเบิกความพยานโจทก์ปากอื่นอีก2ปากพยานโจทก์ปากนี้จึงไม่เสียไปเมื่อจำเลยทั้งสองถูกจับในวันรุ่งขึ้นจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพและพาไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพหลังเกิดเหตุเพียง3วันเชื่อว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพโดยสมัครใจจึงใช้ยันจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา134

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 83, 33 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงให้ริบ
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ลงโทษประหารชีวิต คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกตลอดชีวิตของกลางคงให้ริบตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางที คุณานังเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ ห่างจากเวทีหมอลำประมาณ 4 ถึง 5 เมตร มีแสงสว่างจากแสงไฟนีออนซึ่งติดอยู่บนเวทีหมอลำและบริเวณร้านค้าสามารถมองเห็นได้ชัดเจนพยานเห็นชายคนหนึ่งเดินเข้าไปห่างจากผู้ตายประมาณ 1 เมตรชักอาวุธปืนออกมาจากเอวแล้วได้ยินเสียงปืนดัง 1 นัด ขณะเบิกความจำคนร้ายไม่ได้ เมื่อคนร้ายคนแรกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายล้มแล้วมีคนร้ายอีกคนหนึ่งเดินเข้าไปที่ผู้ตาย แล้วคนร้ายคนที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายอีก 2 นัด คนร้ายดังกล่าวคือจำเลยที่ 2 หลังเกิดเหตุเคยไปชี้ตัวคนร้าย คนร้ายคนแรกที่เข้าไปยิงผู้ตาย พยานชี้ยืนยันต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามภาพถ่ายหมาย จ.1 ส่วนคนร้ายคนที่ 2ได้ชี้ยืนยันตามภาพถ่ายหมาย จ.3 เด็กชายนิรุต ตันสุ เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุนั่งอยู่ห่างจากผู้ตาย 2 เมตรได้ยินเสียงปืนดัง 1 นัด หันไปดูเห็นผู้ตายล้มจากเบาะรถจักรยานยนต์และเห็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายถืออาวุธปืนสั้น หลังจากนั้นเห็นคนร้ายอีกคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายอีก 1 นัดแล้วพากันหนีไป คนร้ายคนแรกคือจำเลยที่ 2 ส่วนคนร้ายคนที่ 2 คือจำเลยที่ 1นายวิชัย สันเที๊ยะ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นผู้ตายนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้าไปใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัดหลังจากนั้น เห็นชายอีกคนหนึ่งเดินเข้าไปแล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายอีก 2 นัด คนร้ายคนแรกที่ยิงผู้ตายคือจำเลยที่ 2 ส่วนคนร้ายคนที่ 2 คือจำเลยที่ 1 จ่าสิบตำรวจประกาศแสนซิวเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า หลังเกิดเหตุได้สืบหาสาเหตุทราบว่าผู้ตายเป็นกำนันตำบลนาเรือง เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2535มีงานที่บ้านผู้ตาย นายคม คมเสมอ กับพวก 3 ถึง 4 คน ซึ่งเป็นคนบ้านหนองกระบือ ไปเต้นและอาละวาดที่หน้าเวทีหมอลำผู้ตายไปห้าม นายคมกับพวกไม่ยอม ผู้ตายค้นพบมีดจึงยึดไว้และบังคับให้นั่งสร้างความไม่พอใจให้นายคมกับพวก หลังจากนั้นนายคมกับพวกมาขออาวุธคืน ผู้ตายไม่ยอมคืน ต่อมาวันที่14 มีนาคม 2534 ตอนเช้า นายคมได้มาขออนุญาตผู้ตายจัดงานชนไก่จะพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับ เป็นเหตุให้นายคมจ้างคนร้ายมายิงผู้ตาย คนร้ายอยู่บ้านสร้างแก้วอำเภอพิบูลมังสาหารซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของนายคมเมื่อทราบลักษณะคนร้ายจึงไปที่บ้านสร้างแก้ว พบชาย 4 คน มีลักษณะเหมือนกับคนร้ายที่ประจักษ์พยานเห็นในที่เกิดเหตุ ชาย 2 คนในจำนวนนั้นคือจำเลยทั้งสองจึงได้พาจำเลยทั้งสองไปให้ประจักษ์พยานชี้ตัว ประจักษ์พยานยืนยันว่าเป็นคนร้ายจึงทำการจับกุม โดยแจ้งข้อหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.9 พันตำรวจโทมงคล ลิ้มสุวรรณ พนักงานสอบสวนเบิกความว่าชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย ป.จ.4และ ป.จ.5 (ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ) จำเลยทั้งสองนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามเอกสารหมาย ป.จ.6 และ ป.จ.7(ศาลจังหวัดอำนาจเจริญ) จำเลยทั้งสองเบิกความทำนองเดียวกันว่าให้การรับสารภาพเพราะถูกบังคับ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่างพอที่ประจักษ์พยานโจทก์จะมองเห็นเหตุการณ์ได้ แม้นางทีจะเบิกความชั้นพิจารณาไม่ตรงกับพยานปากอื่นแต่นางทีก็เบิกความว่าในวันเบิกความจำหน้าคนร้ายไม่ได้แล้ว และในชั้นสอบสวนนางทีได้ชี้ตัวคนร้ายตรงกับคำเบิกความของพยานโจทก์ปากอื่นอีก 2 ปาก พยานโจทก์ปากนี้จึงไม่เสียไปเมื่อจำเลยทั้งสองถูกจับในวันรุ่งขึ้นจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพและในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพ และพาไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพหลังเกิดเหตุเพียง 3 วันจ่าสิบตำรวจประภาสและพันตำรวจโทมงคลเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่มีเหตุที่จะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยทั้งสองหรือบังคับให้จำเลยทั้งสองรับสารภาพจำเลยทั้งสองเบิกความลอย ๆ ว่าถูกบังคับให้รับสารภาพ ไม่มีน้ำหนักพอฟังหักล้างพยานโจทก์ได้เชื่อว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองจึงใช้ยันจำเลยทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 134 ส่วนคำเบิกความของเด็กชายนิรุตที่แตกต่างกับพยานโจทก์ปากอื่นนั้น ก็เป็นเพียงพลความไม่ทำให้น้ำหนักพยานโจทก์เสียไปเช่นเดียวกันพยานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share