คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับ 1 ซึ่งมีราคา 30,000 บาทเป็นของผู้ร้องที่ 1 และอันดับที่ 2 ถึงที่ 9 รวมราคา 28,680 บาท เป็นของผู้ร้องที่ 2 แม้ผู้ร้องจะตีราคารวมกันมาในคำร้องเป็นจำนวนเงิน 58,680 บาท ก็ถือว่าคดีสำหรับผู้ร้องที่ 1 เป็นคดีมีทุนทรัพย์เพียง 30,000 บาท คดีสำหรับผู้ร้องที่ 2 มีทุนทรัพย์เพียง 28,680 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ผู้ร้องทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
เอกสารสัญญาเช่าซื้อแม้ผู้ร้องจะมิได้อ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อบังคับการตามสัญญาเช่าซื้อหากแต่อ้างมาประกอบพยานบุคคลว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดมาเพื่อการบังคับคดีเป็นของผู้ร้องโดยเช่าซื้อมานั้นก็จะต้องพิจารณาวินิจฉัยว่าผู้ร้องได้เช่าซื้อทรัพย์ดังกล่าวมาจริงหรือไม่ ซึ่งต้องพิเคราะห์จากสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้างมา สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานโดยตรงในคดี เมื่อไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องรวมราคา ๕๘,๖๘๐ บาท เป็นทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสอง โดยทรัพย์อันดับที่ ๑ เป็นของผู้ร้องที่ ๑ และอันดับที่ ๒ ถึงที่ ๙ เป็นทรัพย์ของผู้ร้องที่ ๒ ขอให้สั่งปล่อยการยึด
โจทก์ให้การว่าทรัพย์ทั้ง ๙ รายการเป็นของจำเลยที่ ๑ มิใช่เป็นทรัพย์ของผู้รอ้ง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์เฉพาะทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๓ คำร้องของผู้ร้องเกี่ยวกับทรัพย์รายการอื่นให้ยก
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่าทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องขัดทรัพย์อันดับที่ ๑ เป็นทรัพย์ของผู้ร้องที่ ๑ อันดับที่ ๒ ถึง ๙ เป็นทรัพย์ของผู้ร้องที่ ๒ ผู้ร้องทั้งสองตีราคาเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้มารวมทั้งสิ้น ๕๘,๖๘๐ บาท เท่าที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาไว้ ปรากฏในบัญชียึดทรัพย์ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำมาในการยึดทรัพย์ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๙ และ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๑๙ ว่าทรัพย์ซึ่งผู้ร้องที่ ๑ ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าเป็นของผู้ร้องที่ ๑ มีราคา ๓๐,๐๐๐ บาท ทรัพย์ซึ่งผู้ร้องที่ ๒ ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าเป็นของผู้ร้องที่ ๒ มีราคารวม ๒๘,๖๘๐ บาท คดีสำหรับผู้ร้องที่ ๑ จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์เพียง ๓๐,๐๐๐ บาท และคดีสำหรับผู้ร้องที่ ๒ เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์เพียง ๒๘,๖๘๐ บาท คดีนี้เป็นคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ บัญญัติห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองที่ว่าทรัพย์ท้ายคำร้องขัดทรัพย์ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยนั้นเป็นของผู้ร้องทั้งสองหรือไม่ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของผู้ร้องทั้งสองในปัญหานี้จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามกฎหมายมาตราดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายมาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อทรัพย์อันดับที่ ๑ และ ๓ มิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร จึงใช้อ้างเป็นพยานในคดีแพ่งไม่ได้ ไม่เป็นการถูกต้อง เพราะผู้ร้องทั้งสองมิได้อ้างมาเป็นพยานหลักฐานบังคับการตามสัญญาเช่าซื้อ เอกสารที่ผู้ร้องทั้งสองส่งศาลเป็นเพียงสำเนา อ้างมาประกอบการพิจารณาของศาลเพื่อแสดงว่าผู้ร้องได้เช่าซื้อทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๑ และ ๓ มาเป็นการอ้างหลักฐานประกอบพยานบุคคลเพื่อแสดงว่าทรัพย์ดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์และย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายนั้น เห็นว่าคดีนี้ผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๑ และที่ ๓ ซึ่งโจทก์นำยึดมาเพื่อการบังคับคดีเป็นของผู้ร้องโดยเช่าซื้อมา คดีจะต้องพิจารณาวินิจฉัยว่าผู้ร้องได้เช่าซื้อทรัพย์ดังกล่าวมาจริงหรือไม่ ซึ่งก็ต้องพิเคราะห์จากสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้างมาเป็นพยานนั่นเอง สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานโดยตรงในคดี ได้ตรวจเอกสารดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีการปิดอากรแสตมป์เลย เอกสารดังกล่าวจึงเป็นตราสารที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ ซึ่งจะใช้ต้นฉบับคู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งเช่นคดีนี้ไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟังพยานเอกสารสองฉบับนี้ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share