คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6632/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ธนาคารแห่งประเทศไทยผู้คัดค้านตรวจสอบพบว่า ร. ขณะเกิดเหตุเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร ก. ได้ร่วมกับพวกยักยอกทรัพย์ของธนาคารดังกล่าวไปจำนวน 1,657,000,000 บาท เป็นกรณีต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาตามที่ระบุไว้ในมาตรา 46 นว (1) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ทั้งเมื่อพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้อง ร.กับพวกในข้อหาดังกล่าวแล้วร. ได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ การที่ผู้คัดค้านเห็นว่าหากปล่อยเนิ่นช้าไปอาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน ผู้คัดค้านจึงมีคำสั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทที่ ร.เป็นเจ้าของกับหุ้นของบริษัทฟ.ที่มีร. เป็นเจ้าของ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 ทศ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ คำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าวจึงเป็นมาตรการป้องกันมิให้ ร. ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับยึดทรัพย์หรือขายทอดตลาดนำมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ หรือโอนทรัพย์สินหรือสิทธิตามเอกสารสิทธิต่างๆของตนเปลี่ยนมือไปให้แก่บุคคลอื่นโดยมิชอบอันอาจส่งผลให้เจ้าหนี้ทั้งปวงกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่ ร. เป็นหนี้อยู่ได้รับความเสียหายและถูกกระทบกระเทือน เพราะเหตุการกระทำทุจริตของ ร.ดังนั้นการที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินกับหุ้นพิพาทดังกล่าวย่อมเป็นคำสั่งที่สั่งโดยชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน ผู้ร้องยังมิได้ฟ้อง ร.เกี่ยวกับหนี้สินแต่อย่างใดจึงไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่าร.เป็นหนี้ผู้ร้องและมีข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับ ร. ดังที่ผู้ร้องอ้าง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิของผู้ร้องอีกต่อไป ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่อายัดทรัพย์สินของ ร. ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยผู้คัดค้านได้ตรวจสอบพบว่าเมื่อระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2538 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2538 นายราเกซ สักเสนา ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกับบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของธนาคารดังกล่าว กระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของธนาคารเป็นเงิน 1,657,000,000 บาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ในหมวด 5 ของลักษณะ 12 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 354 ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 46 นว (1) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505เหตุเกิดที่แขวงคลองเตย เขตคลองเตย และแขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานครเกี่ยวพันกัน ต่อมาภายหลังที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลดังกล่าวแล้วในวันที่12 มิถุนายน 2539 ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของนายราเกซกับพวกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 ทศ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ. 2505 และได้แจ้งคำสั่งอายัดไปยังธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ทุกแห่ง กรมที่ดินกรมการขนส่งทางบก นายทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีกำหนดเวลา180 วัน ต่อมาพนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องนายราเกซกับพวกตามข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่นายราเกซหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องต่อศาล ผู้คัดค้านจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอขยายระยะเวลาอายัดทรัพย์สินของนายราเกซออกไปจนกว่าจะได้ตัวมาฟ้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วเห็นว่ากรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถฟ้องคดีได้ภายใน 180 วัน ศาลจึงมีคำสั่งครั้งที่ 1 ให้ขยายระยะเวลาออกไปอีกจนกว่าจะได้ตัวนายราเกซมาฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 180 วันนับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2539 ครั้งที่ 2 มีคำสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกจนกว่าจะได้ตัวนายราเกซมาฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 180 วัน นับแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2540และครั้งที่ 3 มีคำสั่งขยายระยะเวลาออกไปอีกนับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะได้ตัวนายราเกซมาฟ้องคดีต่อศาล หรือจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 นายราเกซ สักเสนาทำสัญญากู้เงินเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์กับผู้ร้องในวงเงินไม่เกิน 50,000,000 บาทโดยให้ตั้งวงเงินไว้ในบัญชีทำนองบัญชีเดินสะพัดซึ่งนายราเกซจะเบิกเงินได้ตามจำนวนตามเวลาที่ต้องการและผู้ร้องจะพิจารณาอนุญาตตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา ผู้กู้ยินยอมให้ผู้ร้องคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี และในกรณีที่เห็นสมควรนายราเกซผู้กู้ยินยอมให้ผู้ร้องขายหลักทรัพย์ที่อยู่ในครอบครองเพื่อชำระหนี้ได้ ในวันทำสัญญากู้นายราเกซได้มอบอำนาจและแต่งตั้งผู้ร้องเป็นตัวแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยตกลงให้ค่านายหน้าตามอัตราที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนด ต่อมาวันที่19 พฤษภาคม 2537 นายราเกซนำตั๋วสัญญาใช้เงินบริษัทเงินทุนยูเนี่ยนไฟแนนซ์ จำกัด(มหาชน) จำนวนเงิน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8 ต่อปี มาจำนำไว้กับผู้ร้องและมีการเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่16 ตุลาคม 2538 นายราเกซนำตั๋วสัญญาใช้เงินบริษัทเงินทุนยูเนียนไฟแนนซ์ จำกัด(มหาชน) จำนวนเงิน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11 ต่อปี จำนำกับผู้ร้องเพื่อเป็นหลักประกันหนี้ โดยตกลงว่าหากผิดนัดไม่ชำระหนี้ยอมให้ผู้ร้องโอนเงินพร้อมดอกเบี้ยหักชำระหนี้ได้ หลังจากนายราเกซทำสัญญากู้เงินกับผู้ร้องและสัญญาตั้งตัวแทนแล้ว ได้มีการซื้อหุ้นบริษัทฟินิคส์ เพาส์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด(มหาชน) ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2537 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2537 รวม 132,500หุ้นเป็นเงินค่าซื้อหุ้น 11,285,346 บาท แต่ผู้ร้องยังไม่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าว ผู้ร้องเรียกให้นายราเกซลูกหนี้ชำระหนี้ที่ติดค้างหลายครั้ง แต่นายราเกซเพิกเฉย ผู้ร้องประสงค์จะโอนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 950026183-11 พร้อมดอกเบี้ยเพื่อหักชำระหนี้แก่ผู้ร้อง แต่ไม่อาจทำได้ เนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินของนายราเกซตามคำร้องของผู้คัดค้าน ผู้ร้องได้รับความเสียหายเนื่องจากนายราเกซเป็นหนี้ผู้ร้องในการซื้อขายหุ้นดังกล่าว 11,285,346 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีนับแต่วันซื้อหลักทรัพย์ ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนยูเนี่ยนไฟแนนซ์ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 950026183-11 ลงวันที่16 ตุลาคม 2538 จำนวนเงิน 10,000,000 บาท ตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 6และหุ้นบริษัทฟินิคส์เพาส์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 132,500 หุ้น เพื่อผู้ร้องสามารถโอนเงินและดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินและนำหุ้นดังกล่าวออกขายนำมาหักชำระแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 950026183-11ของนายราเกซไว้กับผู้ร้องนั้น ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 926 ประกอบมาตรา 985, 752 เนื่องจากตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นตั๋วออกให้แก่บุคคลโดยนามและมีข้อความห้ามเปลี่ยนมือ ซึ่งจะโอนกันด้วยการสลักหลังไม่ได้เมื่อไม่จดข้อความแสดงการจำนำไว้ให้ปรากฏในตั๋วสัญญาใช้เงิน การจำนำตั๋วนั้นจึงไม่สมบูรณ์ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นจึงถือเป็นทรัพย์สินของนายราเกซ สักเสนา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 46 นว แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ. 2505 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบพบว่านายราเกซ สักเสนา ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) กับพวกร่วมกันยักยอกทรัพย์ของธนาคารดังกล่าวไปจำนวน 1,657,000,000 บาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ในหมวด 5 ของลักษณะ 12 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353 และ 354 ในฐานะผู้คัดค้านเป็นผู้เสียหายตามมาตรา 46 นว แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 จึงได้ร้องทุกข์ต่ออธิบดีกรมตำรวจ (ปัจจุบันเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ให้ดำเนินคดีแก่นายราเกซกับพวกในข้อหาดังกล่าวกับความผิดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 ทศ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ ข้างต้น ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของนายราเกซกับพวกเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2539 มีกำหนด180 วัน ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้องนายราเกซกับพวกแต่นายราเกซหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอขยายเวลาอายัดทรัพย์สินของนายราเกซไว้อีกรวม 3 ครั้ง ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องในคดีนี้ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินบริษัทเงินทุนยูเนี่ยนไฟแนนซ์ จำกัดผู้ออกตั๋วเลขที่ 950026183-11 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2538 จำนวนเงิน 10,000,000 บาทของนายราเกซผู้รับเงินตามตั๋วตามสำเนาตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย ร.7 และหุ้นบริษัทฟินิคส์ เพาส์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 132,500 หุ้น โดยอ้างว่านายราเกซให้ผู้ร้องเป็นผู้แทนซื้อและถือไว้แทนเพื่อนำมาหักชำระหนี้แก่ผู้ร้องที่ติดค้างอยู่ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทกับหุ้นบริษัทฟินิคส์ เพาส์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด (มหาชน)ตามคำร้องเป็นการชอบด้วยมาตรา 46 ทศ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ. 2505 หรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า การเพิกถอนคำสั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทกับหุ้นนั้นจะไม่ทำให้ประชาชนเสียหาย เพราะผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นในหนี้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 282 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินกับหุ้นของบริษัทฟินิคส์ เพาส์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) นั้นกลับทำให้ผู้ร้องซึ่งประกอบอาชีพโดยสุจริตได้รับความเสียหายไม่มีที่สิ้นสุดเพราะดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนขณะนี้ท่วมหลักประกันเป็นจำนวนมากดังนั้น การอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินกับหุ้นนั้นย่อมไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนแต่อย่างใดนั้น พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 46 นว บัญญัติว่า “ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) ในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ กรรมการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามบทบัญญัติในหมวด 1 หมวด 3หมวด 4 หมวด 5 หรือหมวด 7 ของลักษณะ 12 แห่งประมวลกฎหมายอาญา”กรณีพิพาทนี้ได้ความว่า ก่อนที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินกับหุ้นพิพาทดังกล่าว เนื่องจากผู้คัดค้านตรวจสอบพบว่านายราเกซซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกับพวกยักยอกทรัพย์ของธนาคารดังกล่าวไปจำนวน 1,657,000,000 บาท ซึ่งเป็นการต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาตามที่ระบุไว้ในมาตรา 46 นว (1) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ดังกล่าว ทั้งเมื่อพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องนายราเกซกับพวกในข้อหาดังกล่าวแล้ว นายราเกซได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศและผู้คัดค้านเห็นว่าหากปล่อยเนิ่นช้าไปอาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชนผู้คัดค้านจึงมีคำสั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทที่นายราเกซเป็นเจ้าของกับหุ้นของบริษัทฟินิคส์ เพาส์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) ของนายราเกซดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 ทศ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 46 นว และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า หากปล่อยเนิ่นช้าไปอาจเกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลนั้นหรือทรัพย์สินซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นของบุคคลนั้น” จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า คำสั่งของผู้คัดค้านที่สั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินกับหุ้นพิพาทของนายราเกซเป็นมาตรการป้องกันมิให้นายราเกซยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับยึดทรัพย์หรือขายทอดตลาดนำมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ หรือโอนทรัพย์สินหรือสิทธิตามเอกสารสิทธิต่าง ๆ ของตนเปลี่ยนมือไปให้แก่บุคคลอื่นโดยมิชอบ อันอาจส่งผลให้เจ้าหนี้ทั้งปวงกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่นายราเกซเป็นหนี้อยู่ได้รับความเสียหายและถูกกระทบกระเทือน เพราะเหตุการกระทำทุจริตของนายราเกซดังกล่าว ดังนั้นการที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินกับหุ้นพิพาทดังกล่าวย่อมเป็นคำสั่งที่สั่งโดยชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนตามบทบัญญัติข้างต้นแล้ว มิใช่เป็นคำสั่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนดังที่ผู้ร้องอ้าง ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องกับนายราเกซตกลงโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นหนังสือไว้ล่วงหน้าและมีผลสมบูรณ์แล้ว จึงมีสิทธิร้องขอเพิกถอนคำสั่งอายัดได้ และถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นสำหรับหุ้นพิพาทผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองหุ้นโดยมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินที่ครอบครอง จึงมีสิทธิยึดหน่วงและบังคับให้ชำระหนี้แก่ผู้ร้องก่อนเช่นเดียวกันขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินพิพาทนั้น เห็นว่า ผู้ร้องยังมิได้ฟ้องนายราเกซเกี่ยวกับหนี้สินตามคำร้องแต่อย่างใดกรณีจึงไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่านายราเกซเป็นหนี้ผู้ร้องและมีข้อตกลงต่าง ๆ ระหว่างผู้ร้องกับนายราเกซดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิของผู้ร้องตามที่ผู้ร้องอ้างมาในฎีกาอีกต่อไป ดังนี้ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่อายัดทรัพย์สินของนายราเกซได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share