คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6632/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ ป. มารดาเด็กหญิงส.ยินยอมให้เด็กหญิงส.เดินทางไปกับจำเลยก็เพื่อไปรับจ้างทำงานเป็นลูกจ้างขายผักที่ตลาดเท่านั้น มิได้ยินยอมให้จำเลยพาไปเพื่อการอนาจารแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่จำเลยพาเด็กหญิงส.เข้าไปในโรงแรมเพื่อกระทำอนาจารหรือร่วมประเวณี แม้จำเลยยังไม่ทันกระทำการดังกล่าวก็ตามพฤติการณ์ของจำเลยก็เข้าองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่ง และวรรคสามอันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว หาใช่เพียงขั้นพยายามไม่ จำเลยเพียงแต่ให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าจำเลยพาเด็กหญิงส.ไปเพื่อการอนาจาร คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับคำเบิกความของจำเลยไม่ได้ยอมรับว่าจำเลยพรากเด็กหญิงส.อายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากความปกครองดูแลของนางป.มารดาเพื่อการอนาจารซึ่งเป็นข้อหาที่โจทก์ฟ้อง ส่วนการที่จำเลยมอบเงิน 7,000 บาท ให้แก่ ป. ก็เพื่อเป็นค่าทำขวัญเด็กหญิงส. ที่ถูกชายอื่นพาไปข่มขืนกระทำชำเรามิใช่การมอบให้เพราะเหตุอันเกิดจากการที่จำเลยสำนึกผิดในการกระทำ จึงไม่ใช่เหตุบรรเทาโทษตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควรได้พรากเด็กหญิงส.อายุ 13 ปีเศษ ไปเสียจากความปกครองดูแลของ ป. ผู้เป็นมารดาเพื่อการอนาจารครบองค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้ว หาจำต้องบรรยายว่าจำเลยกระทำอนาจารอย่างไรไม่ ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยสำคัญผิดในอายุของเด็กหญิงส. ว่าเกิน15 ปี แล้ว เป็นข้อที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกามิใช่ข้อที่ได้ ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพรากเด็กหญิงสำลี เสาร์มั่น อายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากความปกครองดูแลของนางแป พางาม ผู้เป็นมารดาเพื่อการอนาจารดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ซึ่งมีนางแปและเด็กหญิงสำลีเบิกความเป็นพยานแวดล้อมและประจักษ์พยานโดยที่จำเลยนำสืบรับว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์สองแถวรับจ้างมารับเด็กหญิงสำลีไปจากบ้านนางแปโดยนางแปยินยอมให้จำเลยพาเด็กหญิงสำลีไปรับจ้างเป็นลูกจ้างทำงานขายผักที่ตลาดบ้างฉางตามที่จำเลยเคยชักชวนและขอร้องไว้ หลังจากขับรถยนต์พาเด็กหญิงสำลีออกจากบ้านนางแปไปแล้ว จำเลยได้พาเด็กหญิงสำลีไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในตลาดบ้านฉางหลายแห่งโดยไม่ได้พาเด็กหญิงสำลีไปพบนางหน่อย ราษฎร์ดุษดีผู้ที่จำเลยอ้างว่าจะว่าจ้างให้เด็กหญิงสำลีทำงานด้วยเป็นต้นว่าจำเลยพาเด็กหญิงสำลีไปเดินเล่นในตลาดบ้านฉางพาไปรับประทานอาหาร และพาไปดูภาพยนตร์กลางแปลงจนกระทั่งเวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยได้ขับรถยนต์พาเด็กหญิงสำลีเข้าไปในโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นไปเช่าห้องพักโรงแรมดังกล่าวโดยครั้งแรกตั้งใจจะเช่านอนค้างคืนที่โรงแรมแห่งนั้น แต่เนื่องจากเด็กหญิงสำลีไม่ยอมเข้าไปในห้องพักโรงแรมตามที่จำเลยเช่าไว้และเด็กหญิงสำลีวิ่งหลบหนีออกจากโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นไปจำเลยจึงเปลี่ยนใจไม่นอนค้างคืนที่โรงแรมดังกล่าวเมื่อเด็กหญิงสำลีหลบหนีกลับไปถึงบ้าน เด็กหญิงสำลีได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้นางแปฟัง นางแปจึงพาเด็กหญิงสำลีไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและพาเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านฉางไปจับจำเลยได้ที่บ้านจำเลยในวันรุ่งขึ้น ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยพาเด็กหญิงสำลีไปเพื่อการอนาจารและจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้ใช้เงินให้แก่นางแปจำนวน 7,000 บาทแล้ว จากข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบและจำเลยนำสืบจะเห็นได้ว่า แม้ครั้งแรกจำเลยจะมีเจตนาพาเด็กหญิงสำลีไปรับจ้างเป็นลูกจ้างขายผักอยู่กับนางหน่อยที่ตลาดบ้านฉางตามที่จำเลยบอกแก่นางแปและนางแปยินยอมให้ไปด้วยก็ตาม แต่พฤติการณ์หลังจากจำเลยขับรถยนต์พาเด็กหญิงสำลีออกจากบ้านนางแปไปแล้วเป็นพฤติการณ์ที่บ่งบอกได้ว่าจำเลยมีเจตนาพาเด็กหญิงสำลีไปเพื่อการอนาจารมากกว่าการพาเด็กหญิงสำลีไปรับจ้างทำงานเป็นลูกจ้างนางหน่อย เพราะการที่จำเลยพาเด็กหญิงสำลีไปเดินเล่นและชมสินค้าตามศูนย์การค้าในตลาดบ้านฉางก็ดี รวมทั้งการพาเด็กหญิงสำลีไปชมภาพยนตร์กลางแปลงก่อนที่จะพาเด็กหญิงสำลีเข้าไปในโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นก็ดี ล้วนเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยมุ่งประสงค์เพียงเพื่อจะถ่วงเวลาให้ดึกพอที่จำเลยจะพาเด็กหญิงสำลีเข้าไปกระทำอนาจารหรือร่วมประเวณีในโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นได้สะดวกไม่ตกเป็นเป้าสายตาผู้คนที่พบเห็นได้ง่ายเท่านั้น เฉพาะอย่างยิ่งการที่จำเลยเข้าไปเช่าห้องพักโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นโดยที่ครั้งแรกตั้งใจจะนอนพักค้างคืนที่โรงแรมแห่งนั้นถึงกับยอมเสียค่าเช่าห้องทั้งคืนไปก่อนจำนวน 300 บาท แต่เมื่อเด็กหญิงสำลีไม่ยอมเข้าห้องพักโรงแรมดังกล่าวทั้ง ๆ ที่จำเลยเดินออกจากห้องพักมาเรียกให้เด็กหญิงสำลีเข้าไปในห้องนั้นถึง 3 ครั้งและเด็กหญิงสำลีได้วิ่งหลบหนีออกไป จำเลยก็บอกคืนห้องพักโดยยอมเสียค่าเช่าห้องพักเป็นการชั่วคราวซึ่งเสียค่าเช่าเพียงครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 150 บาทแล้วเชื่อได้โดยปราศจากข้อระแวงสงสัยว่าจำเลยมีเจตนาพาเด็กหญิงสำลีเข้าไปกระทำอนาจารหรือร่วมประเวณีในโรงแรมดังกล่าว ดังนั้น แม้ในเบื้องต้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางแปยินยอมให้เด็กหญิงสำลีเดินทางไปกับจำเลยก็ตามแต่ก็ฟังได้ว่าความยินยอมของนางแปเป็นความยินยอมให้จำเลยพาเด็กหญิงสำลีไปรับจ้างทำงานเป็นลูกจ้างขายผักอยู่กับนางหน่อยผู้ที่จะว่าจ้างที่ตลาดบ้านฉางเท่านั้น นางแปไม่ได้ยินยอมให้จำเลยพาเด็กหญิงสำลีไปเพื่อการอนาจารแต่อย่างใด การที่จำเลยพอเด็กหญิงสำลีเข้าไปในโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นเพื่อกระทำอนาจารหรือร่วมประเวณี แม้จำเลยยังไม่ทันกระทำการดังกล่าวก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยก็เข้าองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่ง และวรรคสามอันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว หาใช่เพียงขั้นพยายามดังที่จำเลยกล่าวในฎีกาไม่ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยพาเด็กหญิงสำลีเข้าไปในโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นเพื่อจะไปพบนายบุญส่ง วิเศษชาญไชย เพื่อนจำเลยที่อยู่กรุงเทพมหานครซึ่งจะไปร่วมงานชุมนุมศิษย์เก่าโรงเรียนบ้านฉางกาญจนกุลวิทยาโดยที่นายบุญส่งได้โทรศัพท์ให้จำเลยช่วยจองห้องพักโรงแรมดังกล่าวให้เนื่องจากเป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนบ้านฉางกาญจนกุลวิทยานั้นเป็นข้อต่อสู้ที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังหักล้างน้ำหนักพยานโจทก์ได้ เพราะถ้าข้อเท็จจริงเป็นจริงดังที่จำเลยต่อสู้จำเลยก็น่าจะบอกให้เด็กหญิงสำลีทราบเสียตั้งแต่ก่อนที่จำเลยจะพาเด็กหญิงสำลีเข้าไปในโรงแรมแห่งนั้นและเพื่อความเหมาะสมจำเลยก็ควรจะป้องกันข้อครหานินทาจากผู้พบเห็นด้วยการให้เด็กหญิงสำลีรอจำเลยอยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใดนอกบริเวณโรงแรมดังกล่าว จำเลยมิควรนำเด็กหญิงสำลีเข้าไปในบริเวณโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นอันเป็นสถานที่ที่วิญญูชนทั่วไปเห็นว่าชายหญิงในสภาวะอย่างจำเลยและเด็กหญิงสำลีไม่ควรที่จะเข้าไปด้วยกันเพียงสองคนในยามวิกาลเช่นนั้น เมื่อข้อต่อสู้ของจำเลยรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยพาเด็กหญิงสำลีเข้าไปในโรงแรมบ้านฉางการ์เด้นเพื่อพบเพื่อนจำเลยดังที่จำเลยต่อสู้จำเลยย่อมมีความผิดฐานพรากเด็กหญิงสำลีอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากความปกครองดูแลของนางแปผู้เป็นมารดาเพื่อการอนาจารดังที่โจทก์ฟ้อง
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า คำให้การของจำเลย(น่าจะหมายถึงคำเบิกความของจำเลย) เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาขอให้ลดโทษและลงโทษจำเลยสถานเบากับขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยเพียงแต่ให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าจำเลยพาเด็กหญิงสำลีไปเพื่อการอนาจาร คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับคำเบิกความของจำเลยไม่ได้ยอมรับว่าจำเลยพรากเด็กหญิงสำลีอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากความปกครองดูแลของนางแปผู้เป็นมารดาเพื่อการอนาจารซึ่งเป็นข้อหาที่โจทก์ฟ้องส่วนการที่จำเลยมอบเงิน 7,000 บาท ให้แก่นางแปจำเลยก็เบิกความว่าจำเลยมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นางแปเพื่อเป็นค่าทำขวัญเด็กหญิงสำลีที่ถูกชายอื่นพาไปข่มขืนกระทำชำเราต่อและนางแปไม่ติดใจเอาความแก่จำเลย การมอบเงินจำนวนนั้นให้แก่นางแปจึงมิใช่การมอบให้เพราะเหตุอันเกิดจากการที่จำเลยสำนึกผิดในการกระทำความผิดตามฟ้องของจำเลยจึงไม่ใช่เหตุบรรเทาโทษตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 วรรคสอง จึงไม่ลดโทษให้ ส่วนโทษที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองก็เป็นโทษจำคุกในอัตราขั้นต่ำสุดของโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสามแล้วศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษจำคุก 5 ปี ตามที่จำเลยฎีกาขอมาไม่ได้ เมื่อจำเลยต้องโทษจำคุกเกิน 2 ปีโทษจำคุกของจำเลยย่อมไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่งได้ จึงรอการลงโทษให้แก่จำเลยตามขอไม่ได้
สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลย ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ศาลเห็นว่าจำเลยกระทำอนาจารเด็กหญิงสำลีอย่างไร ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควร ได้พรากเด็กหญิงสำลี เสาร์มั่น อายุ 13 ปีเศษ ไปเสียจากความปกครองดูแลของนางแป พางาม ผู้เป็นมารดาเพื่อการอนาจารครบองค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้วหาจำต้องบรรยายว่า จำเลยกระทำอนาจารอย่างไรไม่ ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หาเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าจำเลยสำคัญผิดในอายุของเด็กหญิงสำลีว่าเกิน 15 ปีแล้ว เป็นข้อที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา มิใช่ข้อทีไ่ด้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้ว โดยชอบในศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share