คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8042/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการแต่งตั้งเจ้าพนักงาน (ฉบับที่ 10) จะกำหนดให้เจ้าพนักงานที่ดินเป็นเจ้าพนักงานประเมินตามมาตรา 16 แห่ง ป.รัษฎากร เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการกระทำในฐานะเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับเงินภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งไว้ตามกฎหมายตามมาตรา 52 แห่ง ป.รัษฎากร เท่านั้น การรับเงินค่าภาษีและออกใบเสร็จรับเงินให้โจทก์ทั้งหกในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน มิใช่เป็นการกระทำในฐานะเจ้าพนักงานประเมินที่ทำการประเมินภาษีโจทก์ทั้งหกแต่อย่างใด เมื่อการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี ภ.ง.ด. 90 ของโจทก์ทั้งหก และการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่ถูกต้องครบถ้วน เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ทั้งหกตามที่ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 โดยกำหนดให้โจทก์ทั้งหกชำระเงินภาษีจำนวน 170,856 บาท และให้งดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมด
จำเลยทั้งห้าให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งหกใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งห้า โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหกว่า เจ้าพนักงานที่ดินที่จดทะเบียนที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นเจ้าพนักงานประเมินตามกฎหมายและเจ้าพนักงานที่ดินได้ประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ทั้งหกในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เมื่อโจทก์ทั้งหกได้ชำระเงินตามจำนวนที่เจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวเรียกเก็บแล้ว เจ้าพนักงานประเมินจึงไม่มีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ทั้งหกนั้น เห็นว่า แม้ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการแต่งตั้งเจ้าพนักงาน (ฉบับที่ 10) จะกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นเจ้าพนักงานประเมินตามมาตรา 16 แห่ง ป. รัษฎากร เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการกระทำในฐานะเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับเงินภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งไว้ตามกฎหมายตามมาตรา 52 แห่ง ป. รัษฎากร เท่านั้น การรับเงินค่าภาษีและออกใบเสร็จรับเงินไว้ดังกล่าว จึงมิใช่เป็นการกระทำในฐานะเจ้าพนักงานประเมินที่ทำการประเมินภาษีโจทก์ทั้งหกแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) สำหรับปี 2533 แสดงเงินได้จากการขายที่ดินโดยระบุว่ามิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร และขอหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้อยละ 92 ของเงินได้ แต่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 พบว่าการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี ภ.ง.ด.90 ของโจทก์ทั้งหก และการชำระภาษีเพิ่มยังไม่ถูกต้องครบถ้วน เนื่องจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 พิจารณาเห็นว่า การขายที่ดินดังกล่าวเป็นการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร การหักค่าใช้จ่ายร้อยละ 92 จึงไม่ชอบ และการขายที่ดินดังกล่าวเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่ง ป. รัษฎากร ที่มิได้ระบุไว้ในมาตรา 8 แห่ง พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 จึงต้องหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงได้เสนอการประเมินภาษีโจทก์ทั้งหกตามผลการตรวจสอบและคำนวณภาษีไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และได้รับอนุมัติให้ประเมินภาษีโจทก์ทั้งหก กับได้แจ้งการประเมินภาษีดังกล่าวไปยังโจทก์ทั้งหกโดยชอบแล้ว…
พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งหกใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนจำเลยทั้งห้า.

Share