คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6624/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ขณะจำเลยที่ 1 กระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายสร้อยคอพร้อมพระดังกล่าวจะอยู่ที่มือจำเลยที่ 1 แต่ก็เป็นเพียงการกระทำที่มุ่งหมายจะให้สร้อยคอพร้อมพระขาดหลุดจากคอผู้เสียหาย เมื่อปรากฏว่าสร้อยคอทองคำดังกล่าวตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนพระเลี่ยมทองคำนั้นหาไม่พบ ทั้งขณะเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยก็ไม่พบพระเลี่ยมทองคำดังกล่าวแสดงว่าหลังจากกระชากแล้วสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำหลุดจากมือจำเลยที่ 1 ตกลงพื้น จำเลยที่ 1 ยังไม่ทันเข้ายึดถือครอบครองสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำดังกล่าว เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่ยังไม่อาจยึดถือครอบครองสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำนั้นได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่สามารถเอาพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปได้แต่ผลจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ทำให้ผู้เสียหายสูญเสียพระเลี่ยมทองคำไป จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาพระเลี่ยมทองคำแก่ผู้เสียหาย สำหรับรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถยนต์อยู่ จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ของกลางเข้าประกอบแล้วจำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหาย พฤติการณ์เห็นได้ว่าเป็นการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิดโดยตรง จึงต้องริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 เมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอทองคำกับพระเลี่ยมทองคำ1 องค์ ของนางมาลี หอมประสพ ผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต โดยร่วมกันฉกฉวยเอาซึ่งหน้าและใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด พาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำ 1 เส้นอันเป็นทรัพย์บางส่วนของผู้เสียหายที่ถูกวิ่งราวทรัพย์ไปดังกล่าวกับรถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนจำนวน 1 คัน ที่ใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 336 ทวิ, 33, 83 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 3,900 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 วรรคแรก, 336 ทวิ, 83 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 2 ปี ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือชดใช้ราคาพระเลี่ยมทองคำราคา 3,900 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติได้ความว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง ขณะที่นางมาลี หอมประสพ ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์จะกลับบ้าน ได้มีคนร้าย 2 คน ร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะขับตามหลังรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับมาแล้วแซงเบียดมาทางขวามือของผู้เสียหาย คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมพระเลี่ยมทองคำ1 องค์ ของผู้เสียหายไป จากนั้นคนร้ายทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ดังกล่าวหลบหนีไปคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังรับฟังไม่ได้อย่างแน่ชัดว่าผู้เสียหายจะเห็นและจำคนร้ายทั้งสองได้เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยกะทันหัน รวดเร็ว เพียงช่วงที่ระยะรถแล่นแซงกันและต่างฝ่ายต่างก็เคลื่อนไหวอยู่บนรถจักรยานยนต์เท่านั้น น่าสงสัยว่า ผู้เสียหายจะเห็นและจำจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าก่อนเกิดเหตุคนร้ายทั้งสองได้ขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาก่อน เมื่อผ่านผู้เสียหายไปแล้วได้ขับย้อนกลับมาตามหลังรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับอยู่ แล้วแซงเบียดมาทางขวามือของผู้เสียหาย ผู้เสียหายหันไปดู คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายเอื้อมมือกระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหาย แต่จับสร้อยคอทองคำไม่ถนัด จึงขับรถเบียดรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่งในระยะห่างประมาณ 1 ศอก แล้วคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายจนขาดหลุดติดมือไปรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายเสียหลักล้มลง ส่วนคนร้ายทั้งสองเร่งเครื่องยนต์ขับหลบหนีไป ผู้เสียหายจึงขอโดยสารรถที่ผ่านมาไปแจ้งความที่ป้อมตำรวจโดยระบุลักษณะรถจักรยานยนต์รูปพรรณสัณฐานและเสื้อผ้าของคนร้าย เจ้าพนักงานตำรวจจึงวิทยุให้ช่วยสกัดจับคนร้ายและส่งผู้เสียหายไปตรวจรักษาบาดแผลที่หัวเข่าที่โรงพยาบาลแหลมสิงห์ หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้และให้ผู้เสียหายไปชี้ตัวที่บริเวณที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายชี้ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่กระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป เจ้าพนักงานตำรวจจึงแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และรับว่าสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจึงนำจำเลยทั้งสองไปค้นหาจนพบสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายและได้คืนให้แก่ผู้เสียหายแล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ผู้เสียหายได้พบเห็นจำเลยทั้งสองในระยะใกล้กระชั้นชิด ห่างกันเพียงเล็กน้อยหลายครั้ง ครั้งแรกขณะจำเลยทั้งสองขับรถสวนทางมา ครั้งที่สองขณะขับรถย้อนกลับมาตามหลังรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย แล้วแซงเบียดมาทางขวามือของผู้เสียหายตรงเข้าเอื้อมมือกระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหาย แต่จับสร้อยคอทองคำไม่ถนัด และครั้งที่สามขณะกระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายจนขาดหลุดติดมือไปจึงมีระยะเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะเห็นและจดจำจำเลยทั้งสองได้ หลังจากนั้นเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายได้และให้ผู้เสียหายชี้ตัว ผู้เสียหายก็ชี้ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่วิ่งราวทรัพย์ผู้เสียหาย ซึ่งระยะเวลาที่ชี้ตัวดังกล่าวห่างจากเวลาที่เกิดเหตุเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงเศษเท่านั้น ทั้งเมื่อพันตำรวจตรีโกศล วรรณฤดี และร้อยตำรวจโทไชยวัฒน์ แจนไธสง ผู้จับกุมจำเลยทั้งสอง และพันตำรวจตรีสมพลโฉมวิลัย พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหายโดยใช้ยานพาหนะ ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามบันทึกเอกสารหมาย จ.1 จ.9 ถึง จ.11 และภาพถ่ายหมาย จ.4 ซึ่งบันทึกคำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าวได้จัดทำขึ้นในวันเกิดเหตุนั้นเอง จึงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองให้การไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไม่ทันคิดเสริมแต่งหรือหาข้อแก้ตัวใด ๆ พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวประกอบกันรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายเห็นและจำจำเลยทั้งสองได้ อันเป็นปกติวิสัยของผู้ที่ได้รับความเสียหายย่อมต้องสังเกตจดจำผู้ที่กระทำความผิดต่อตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์มาเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ เท่านั้น ทั้งบริเวณที่เกิดเหตุไม่ปรากฏว่าเป็นที่พลุกพล่านอันจะเป็นเหตุให้ผู้เสียหายสับสนจนจำผิดได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยเลยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าพันตำรวจตรีโกศล ร้อยตำรวจโทไชยวัฒน์และพันตำรวจตรีสมพลพยานโจทก์เบิกความขัดแย้งกันในเรื่องจุดที่พบสร้อยคอทองคำของกลาง และพฤติการณ์ที่พบของกลางดังกล่าวซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งคดี จึงเป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นคนร้ายที่แท้จริงหรือไม่ ชอบที่ศาลจะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227นั้น เห็นว่า พยานโจทก์คงมีแต่พันตำรวจตรีโกศลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าพยานพาจำเลยทั้งสองไปยังที่เกิดเหตุและทราบว่าจุดที่พบสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายอยู่ที่ใด จุดที่พบสร้อยคอทองคำดังกล่าวอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ5 กิโลเมตร แต่เจ้าพนักงานตำรวจคนที่พบสร้อยคอทองคำเป็นใคร จำไม่ได้แล้ว ซึ่งแสดงว่าพันตำรวจตรีโกศลเองมิใช่เป็นผู้นำจำเลยทั้งสองไปตรวจค้นและพบสร้อยคอทองคำดังกล่าว ณ จุดนั้นด้วยตนเองแต่อย่างใด เชื่อว่าได้รับทราบมาจากการบอกเล่าของผู้อื่นเท่านั้น ส่วนพยานโจทก์คนอื่นล้วนแล้วแต่ยืนยันว่าได้พบของกลางในบริเวณที่เกิดเหตุทั้งสิ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับพฤติการณ์แห่งคดีและบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1บันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและภาพถ่ายหมาย จ.9 ถึง จ.11 จ.4 และจ.5 ตามลำดับ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ มิใช่เป็นความผิดสำเร็จเพราะคนร้ายกระชากสร้อยคอทองคำขาดตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยผู้เสียหายยังอยู่ ณ ที่นั้นการครอบครองทรัพย์จึงยังไม่ขาดไปจากผู้เสียหาย อันมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองและมิใช่เป็นการฉกฉวยเอาทรัพย์ไปซึ่งหน้า และรถจักรยานยนต์ที่ศาลสั่งริบมิใช่เป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 1 แต่เป็นของบริษัทธนารัตถ์ (1995) จำกัด ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อมาใช้เป็นยานพาหนะขับขี่ไปมาเท่านั้น หาใช่เป็นยานพาหนะที่ต้องใช้ในการกระทำความผิดไม่ ทั้งผู้เสียหายมิได้ยืนยันว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นคันเดียวกับรถจักรยานยนต์ที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการกระทำความผิดจึงขอให้มีคำสั่งให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของด้วยนั้น เห็นว่าแม้ขณะจำเลยที่ 1 กระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำดังกล่าวจะอยู่ที่มือจำเลยที่ 1 แต่ก็เป็นเพียงการกระทำที่มุ่งหมายจะให้สร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำขาดหลุดจากคอผู้เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสร้อยคอทองคำดังกล่าวตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนพระเลี่ยมทองคำนั้นค้นหาไม่พบทั้งขณะเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยก็ไม่พบพระเลี่ยมทองคำดังกล่าวแต่อย่างใด แสดงว่าหลังจากกระชากแล้วสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำหลุดจากมือจำเลยที่ 1 ตกลงที่พื้น จำเลยที่ 1 ยังไม่ทันเข้ายึดถือครอบครองสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำดังกล่าว กรณีจึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่ยังไม่อาจยึดถือครอบครองสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำนั้นได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์เท่านั้นแม้จำเลยที่ 1 จะไม่สามารถเอาพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปได้ แต่ผลจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ทำให้ผู้เสียหายสูญเสียพระเลี่ยมทองคำไป จำเลยที่ 1จึงรับผิดคืนหรือใช้ราคาพระเลี่ยมทองคำแก่ผู้เสียหายตามฟ้อง สำหรับรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์อยู่ จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ของกลางเข้าประกบแล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหาย พฤติการณ์เห็นได้ว่าเป็นการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิดโดยตรง มิใช่เป็นเพียงยานพาหนะขับไปมาดังที่จำเลยที่ 1 อ้างฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน

อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์จึงเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก, 336 ทวิ, 80, 83 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสามคงจำคุกคนละ 1 ปี4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share