คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6612/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกจะมีหรือเกิดขึ้นในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ตั้งแต่เวลาที่ผู้รับประโยชน์ได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ขอเข้าถือเอาหรือรับประโยชน์จากสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 มิใช่เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาแล้วจะทำให้มีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาได้ทันที และตราบใดที่ผู้รับประโยชน์ยังมิได้แสดงเจตนาเข้ารับหรือถือเอาประโยชน์จากสัญญา คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายยังคงผูกพันมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาตามปกติทั่วไป โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยได้แสดงเจตนาเพื่อรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยครั้งแรกโดยการทวงถามให้จำเลยผู้รับประกันภัยซึ่งเป็นลูกหนี้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ทรัพย์จำนองและสินค้ามันสำปะหลังได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2544 อันเป็นวันเริ่มสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับประโยชน์ที่จะเรียกให้จำเลยผู้รับประกันภัยลูกหนี้ให้ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ แต่เป็นเวลาภายหลังจากที่ผู้เอาประกันภัยและจำเลยผู้รับประกันภัยได้ตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยการซ่อมแซมและหาทรัพย์สินมาทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งการตกลงของผู้เอาประกันภัยกับจำเลยผู้รับประกันภัยเป็นการกระทำไปตามสัญญาประกันภัยที่ระบุว่า ให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยเลือกทำการสร้างใหม่ หรือจัดหาทรัพย์สินมาแทนทรัพย์สินที่เสียหายทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดแทนการจ่ายเงินชดใช้ก็สามารถทำได้ ซึ่งในขณะที่ตกลงกันดังกล่าวโจทก์ยังไม่ได้เข้าถือ เอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับสินค้ามันสำปะหลังเป็นกรณีจำเลยผู้รับประกันภัยจัดหามาทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัย จึงไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิของโจทก์ตามสัญญาประกันภัย ส่วนโกดังทรัพย์จำนองตามสัญญาจำนองซึ่งจำเลยจัดการซ่อมแซมให้ ไม่ใช่กรณีที่จำเลยผู้รับประกันภัยใช้เงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 231 จึงไม่จำต้องมีการบอกกล่าวหรือได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้รับจำนองก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 165,994,240.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 148,317,987.42 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือไม่ เห็นว่า กรมธรรม์ประกันภัย เป็นสัญญาประกันภัยที่จำเลยผู้รับประกันภัยทำกับริษัทเกษตรรุ่งเรืองพืชผล จำกัด ผู้เอาประกันภัยโดยมีโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงเป็นการทำสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก ซึ่งสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกจะมีหรือเกิดขึ้นในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ตั้งแต่เวลาที่ผู้รับประโยชน์ได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ขอเข้าถือเอาหรือรับประโยชน์จากสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 374 มิใช่เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาแล้วจะทำให้มีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาได้ทันที และตราบใดที่ผู้รับประโยชน์ยังมิได้แสดงเจตนาเข้ารับหรือถือเอาประโยชน์จากสัญญา คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายยังคงผูกพันมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาตามปกติทั่วไป ได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายบุญส่ง พนักงานของโจทก์ตำแหน่งนิติกร และนายเสนี พนักงานของโจทก์ฝ่ายสินเชื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นทำนองเดียวกันว่า หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าทรัพย์จำนองที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย โจทก์ทราบเรื่องดังกล่าวโดยจำเลยเป็นผู้แจ้งให้ทราบและจำเลยยังมีหนังสือแจ้งการประเมินความเสียหายให้โจทก์ทราบในเบื้องต้นด้วยตามรายงานการประเมินความเสียหาย ส่วนความเสียหายของมันสำปะหลังโจทก์ทราบตั้งแต่วันที่ทราบว่าเกิดเพลิงไหม้แล้ว โดยโจทก์ไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่หรือบุคคลใดเข้าร่วมประเมินค่าเสียหายด้วย ต่อมาโจทก์ได้แสดงเจตนาเพื่อรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว โดยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์จากข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยได้แสดงเจตนาเพื่อรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยครั้งแรกโดยการทวงถามให้จำเลยผู้รับประกันภัยซึ่งเป็นลูกหนี้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ทรัพย์จำนองที่จำเลยรับประกันภัยไว้เป็นเหตุให้ทรัพย์จำนองและสินค้ามันสำปะหลังได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2544 อันเป็นวันเริ่มสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับประโยชน์ที่จะเรียกให้จำเลยผู้รับประกันภัยลูกหนี้ให้ชำระหนี้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ แต่เป็นเวลาภายหลังจากที่ผู้เอาประกันภัยและจำเลยผู้รับประกันภัยได้ตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยการซ่อมแซมและหาทรัพย์สินมาทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งการตกลงของผู้เอาประกันภัยกับจำเลยผู้รับประกันภัยเป็นการกระทำไปตามสัญญาประกันภัย ที่ระบุไว้ในข้อที่ 8 ว่าให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยเลือกทำการสร้างใหม่ หรือจัดหาทรัพย์สินมาแทนทรัพย์สินที่เสียหายทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดแทนการจ่ายเงินชดใช้ก็สามารถทำได้ ซึ่งในขณะที่ตกลงกันดังกล่าวโจทก์ยังไม่ได้เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับสินค้ามันสำปะหลังเป็นกรณีจำเลยผู้รับประกันภัยจัดหามาทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัย จึงไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิของโจทก์ตามสัญญาประกันภัย ส่วนโกดังทรัพย์จำนองตามสัญญาจำนองจำเลยจัดการซ่อมแซมให้ไม่ใช่กรณีที่จำเลยผู้รับประกันภัยใช้เงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 231 จึงไม่จำต้องมีการบอกกล่าวหรือได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้รับจำนองก่อนดังที่โจทก์อ้างมาในฎีกาแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า การตกลงของผู้เอาประกันภัยกับจำเลยผู้รับประกันภัยเป็นเหตุให้โจทก์เสื่อมสิทธิในทรัพย์สินหรือได้รับความเสียหายจากมูลค่าทรัพย์สินจำนองลดลงนั้น ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องไปว่ากล่าวกับผู้จำนองทรัพย์สินกับโจทก์เองเนื่องจากจำเลยไม่ได้เป็นคู่สัญญาด้วย นอกจากนี้โจทก์อาจเข้าถือเอาหรือรับประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันภัยได้ตั้งแต่เมื่อมีการทำสัญญาประกันภัยซึ่งจัดทำขึ้นตามความประสงค์ของโจทก์ตามสัญญาจำนอง ที่โจทก์ฎีกาทำนองว่า โจทก์ไม่ได้เพิกเฉยที่จะเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยเนื่องจากต้องรอให้ทราบจำนวนความเสียหายที่แน่นอนก่อนนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวข้างต้นว่าโจทก์ทราบเรื่องที่ทรัพย์จำนองถูกเพลิงไหม้ในเวลาใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุ แต่โจทก์เพิ่งมาเข้าถือประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยหลังจากเกิดเหตุได้ประมาณ 1 ปี ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวยังไม่เป็นเหตุผลที่รับฟังได้ ส่วนฎีกาของโจทก์ข้ออื่นก็ไม่ทำให้ผลคำวินิจฉัยในข้อนี้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเรียกให้จำเลยใช้ค่าทดแทนภายหลังจากที่จำเลยได้ตกลงใช้ค่าทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยให้โจทก์ได้อีก และเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแล้ว ฎีกาของโจทก์ในปัญหาว่าจำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพียงใด จึงไม่จำต้องต้องวินิจฉัยต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share