คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันมาก่อนใช้บรรพ 5 จึงขอให้ศาลแสดงว่าทรัพย์ที่พิพาทเป็นสินสมรส โจทก์มีสิทธิสองส่วนจำเลยหนึ่งส่วน
จำเลยต่อสู้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวจำเลยจำเลยเป็นภรรยาโจทก์หลังใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ภายหลังได้หย่าขาดและแบ่งทรัพย์กันแล้วดังนี้แม้ในคดีก่อนที่จำเลยฟ้องโจทก์ว่าลักตัดยางในสวนพิพาทศาลจะฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ก็ดีในคดีใหม่นี้ศาลก็ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันเมื่อใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้วและไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันได้เพราะคดีใหม่นี้มูลกรณีเป็นคนละอย่างหาได้เกี่ยวเนื่องมาจากคดีอาญาที่หากันว่าลักตัดยางในสวนพิพาทไม่ คู่ความมาพิพาทกันด้วยสิทธิในครอบครัวและทรัพย์สินในทางแพ่งเป็นเรื่องใหม่อีกโสดหนึ่งต่างหาก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทซึ่งนางสอนมารดาจำเลยยกให้นี้เป็นสินสมรส นางสอนตายให้จำเลยประกาศรับมรดกใส่ชื่อโจทก์จำเลยในโฉนดร่วมกัน

จำเลยให้การว่าที่นี้มารดาให้จำเลยก่อนได้กับโจทก์จึงเป็นสินส่วนตัวจำเลยเป็นภรรยาโจทก์ภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์เลิกหย่ากับจำเลยแบ่งทรัพย์กันแล้ว

ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์จำเลยได้กันภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่เป็นคู่สมรสตามกฎหมายที่พิพาทจำเลยมีมาก่อนได้กับโจทก์ ๆ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ยืน

โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ว่าคดีเรื่องนี้มูลกรณีเป็นคนละอย่างหาได้เกี่ยวเนื่องมาจากคดีอาญาที่หากันว่าลักตัดยางในสวนพิพาทไม่ คู่ความมาพิพาทกันด้วยสิทธิในครอบครัวและทรัพย์สินในทางแพ่งเป็นเรื่องใหม่อีกโสดหนึ่งต่างหาก ที่ศาลชี้ขาดในคดีอาญาไปเช่นนั้นก็เพราะจำเลยมาเป็นโจทก์เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องไว้ดังนั้นอันจะเอาผิดแก่จำเลยในคดีนั้นไม่ได้ ศาลจึงพิพากษายกฟ้องคดีอาญาเสีย เมื่อโจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้เรียกทรัพย์จากจำเลย ๆ มีพยานหลักฐานในข้อนี้อย่างไรศาลย่อมพิจารณาพิพากษาได้ฎีกาของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น

โจทก์จำเลยได้กันเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5แล้วเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็ไม่นับว่าเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ที่ดินมีโฉนด การพูดให้ด้วยวาจากฎหมายก็ไม่รับนับว่าเป็นการให้เมื่อนางสอนตายที่ดินจึงเป็นมรดกแก่ทายาทเมื่อโจทก์ไม่ใช่สามีโดยชอบด้วยกฎหมายก็ไม่มีสิทธิเกี่ยวข้อง

จึงพิพากษายืน

Share