คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6609/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม ฉะนั้น คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งจึงต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 2 ว่าเป็นไปโดยมิชอบโดยอ้างเหตุเป็น 2 ตอน โดยในตอนที่สองได้บรรยายคำร้องว่านอกจากจะมีการทุจริตในหน่วยเลือกตั้งที่ 1 แล้ว หน่วยเลือกตั้งอื่นอาจจะมีการกระทำทุจริต กล่าวคือ อำเภอ ก.หน่วยเลือกตั้งที่ 1 มีผู้ใช้สิทธิคนเดียวหลายครั้งเพื่อลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลขอื่น และกรรมการนับคะแนนโดยไม่ขานคะแนนของผู้ร้อง หน่วยเลือกตั้งที่ 5กรรมการนับคะแนนโดยไม่ขานคะแนนของผู้ร้อง และทำบัตรดีให้เป็นบัตรเสียโดยมีการกา 2 ครั้งในช่องเดียวกันเจ้าหน้าที่ขานว่าเป็นบัตรเสีย ซึ่งลักษณะการกระทำผิดในหน่วยเลือกตั้งอื่นของอำเภอ ก. อำเภอ บ. และอำเภอ ด. นั้นผู้ร้องเข้าใจว่าอาจเป็นการกระทำทุจริตโดยเจ้าหน้าที่อาจปล่อยให้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งหลายครั้ง ทำให้คะแนนของผู้ร้องลดลง ดังนี้ คำร้อง ของ ผู้ร้องในตอนที่สองที่เกี่ยวกับหน่วยเลือกตั้งอื่นดังกล่าวนี้ ผู้ร้องมิได้ยืนยันว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้ง แต่เป็นความเข้าใจเอาเองของผู้ร้องทั้งผู้ร้องมิได้บรรยายให้เห็นว่าบัตรเลือกตั้งที่ใช้เวียน ลงคะแนนก็ดี บัตรที่ขานคะแนนของผู้ร้องเป็นของผู้สมัครคนอื่นก็ดี บัตรที่ไม่ขานคะแนนให้ผู้ร้องโดยอ้างว่าเป็นบัตรเสียก็ดีนั้นมีจำนวนเท่าใด การใช้คนเวียน ลงคะแนนให้ผู้สมัครคนอื่นและขานคะแนนของผู้ร้องเป็นของผู้สมัครคนอื่นนั้นเป็นผู้สมัครคนใดบ้าง และมีผลทำให้คะแนนของผู้สมัครคนใดเพิ่มขึ้นหรือลดลงจำนวนเท่าใด คำร้อง ของผู้ร้องที่อ้างเหตุในตอนที่สองนี้เป็นคำร้องที่มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า ทางอำเภอกำแพงแสนจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่ามีจำนวน 875 คน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพียง 775 คน และมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเพียง437 คน แต่จากรายงานผลการนับคะแนนว่า ผู้คัดค้านที่ 2ได้รับคะแนน 752 คะแนน เกินกว่าจำนวนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ถ้าเปิดหีบเลือกตั้งมานับใหม่แล้วจะทำให้คะแนนของผู้ร้องเพิ่มขึ้นและทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปนั้น เมื่อปรากฏตามคำร้อง ของ ผู้ร้องว่า ผู้ร้องได้คะแนนน้อยกว่าผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 2,305 คะแนน ดังนั้นแม้จะนำจำนวนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในหน่วยเลือกตั้งนี้เป็นคะแนนที่ลงให้แก่ผู้ร้องนำมาหักออกจากคะแนนของผู้คัดค้านที่ 2 ก็หาทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปอันจะทำให้ผู้ร้องได้รับการเลือกตั้งและผู้คัดค้านที่ 2ไม่ได้รับการเลือกตั้ง จึงไม่จำต้องเปิดหีบเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนเสียงใหม่ เมื่อคำร้อง ของ ผู้ร้องที่คัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นคำร้องที่เคลือบคลุมและไม่ทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาได้ ให้ยกคำร้อง ของ ผู้ร้อง

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนครปฐมว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่17 พฤศจิกายน 2539 โดยจังหวัดนครปฐมแบ่งเขตเลือกตั้งเป็น2 เขต ผู้ร้องได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 2 ซึ่งมีพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภอกำแพงแสนอำเภอบางเลน และอำเภอดอนตูม การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งดังกล่าวนายพินิจ เนตรพุกกณะนายอำเภอกำแพงได้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งที่ 1 ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน ผิดไปจากความเป็นจริง โดยความจริงแล้วผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งดังกล่าวมี 775 คน แต่นายพินิจจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 875 คน และมอบบัตรเลือกตั้งให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งไปตามจำนวนดังกล่าว ซึ่งเกินกว่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 100 ฉบับ อันเป็นการกระทำโดยทุจริตเพื่อช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นให้ได้คะแนนเกินความจริงและเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งดังกล่าวยังกระทำการทุจริตในการตรวจนับและรวมคะแนนโดยรายงานผลคะแนนว่า ผู้สมัครหมายเลข 5 นายไชยยศ สะสมทรัพย์ ได้คะแนน 752 คะแนน มีบัตรที่ผู้เลือกตั้งทำเครื่องหมายไม่ลงคะแนน 10 ฉบับ ทั้ง ๆ ที่ตามความจริงมีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเพียง 437 คน ไม่มาใช้สิทธิ405 คน บัตรเสีย 7 ฉบับ และการเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งอื่นของอำเภอกำแพงแสน อำเภอบางเลน และอำเภอดอนตูม อาจจะมีการทุจริตในลักษณะเดียวกัน ซึ่งผู้ร้องเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งอาจปล่อยให้ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเวียนลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครคนอื่นหลายครั้งเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้สมัครคนอื่นได้รับคะแนนสูงเกินความจริง ทั้งการนับคะแนนของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งยังขานคะแนนที่เลือกผู้ร้องเป็นคะแนนของผู้สมัครคนอื่น และไม่นับคะแนนในบัตรที่เลือกผู้ร้องซึ่งเป็นบัตรดีโดยอ้างว่าเป็นบัตรเสีย ทำให้คะแนนของผู้ร้องลดลงและเป็นเหตุให้นายไชยยศผู้สมัครหมายเลข 5 ได้รับคะแนนสูงกว่าผู้ร้อง 2,305 คะแนน ซึ่งหากไม่มีการทุจริตดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องจะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอให้มีคำสั่งว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐมในเขตเลือกตั้งที่ 2 เป็นโมฆะและให้มีการเลือกตั้งใหม่
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมผู้คัดค้านที่ 1 คัดค้านว่าคำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุม นอกจากนี้ผลการเลือกตั้งดังกล่าวปรากฏว่า นายชาญชัย ปทุมารักษ์ และนายไชยยศ สะสมทรัพย์ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยนายชาญชัยได้คะแนน 72,440 คะแนน และนายไชยยศได้คะแนน 61,548 คะแนน ส่วนผู้ร้องได้คะแนน 59,243 คะแนน ซึ่งน้อยกว่านายไชยยศ 2,305 คะแนน แม้จะเปิดหีบบัตรเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งดังกล่าวนับคะแนนใหม่ก็ไม่ทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไป ขอให้ยกคำร้อง
นายไชยยศ สะสมทรัพย์ ผู้คัดค้านที่ 2 คัดค้านว่า คำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุม ไม่บรรยายให้เห็นว่าการนับคะแนนในหน่วยเลือกตั้งแต่ละหน่วยไม่ตรงต่อความเป็นจริงหรือผิดพลาดอย่างไรและทำให้ผู้ร้องได้คะแนนเพิ่มขึ้นหรือลดลงจำนวนเท่าใด ทั้งการนับคะแนนในหน่วยเลือกตั้งแต่ละหน่วยก็ไม่ผิดพลาดผู้ร้องเพียงแต่คาดคะเนเอาเองว่าผิดพลาด และผลการเลือกตั้งปรากฏว่านายชาญชัย ปทุมารักษ์ และผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยนายชาญชัยได้คะแนน 72,440 คะแนน และผู้คัดค้านที่ 2 ได้คะแนน 61,548 คะแนน ส่วนผู้ร้องได้คะแนน 59,243 คะแนน แม้จะมีการเปิดหีบเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งที่ 1 ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสนนับคะแนนใหม่ก็ไม่ทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไป ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานต่อไป จึงสั่งงดการไต่สวนแล้วทำความเห็นส่งศาลฎีกาว่าควรยกคำร้อง
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น มาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองบัญญัติว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นและมาตรา 1(3) บัญญัติว่า คำฟ้อง หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ฯลฯ ไม่ว่าจะได้เสนอในขณะที่เริ่มคดีโดยคำฟ้องหรือคำร้องขอ ฯลฯ ฉะนั้น คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งจึงต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ด้วย ผู้ร้องได้คัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดนครปฐมเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ว่าเป็นไปโดยมิชอบโดยอ้างเหตุเป็น2 ตอน โดยในตอนที่สองได้บรรยายคำร้องว่า นอกจากจะมีการทุจริตในหน่วยเลือกตั้งที่ 1 ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน แล้วหน่วยเลือกตั้งอื่นอาจจะมีการกระทำทุจริตกล่าวคืออำเภอกำแพงแสนหน่วยเลือกตั้งที่ 1 มีผู้ใช้สิทธิคนเดียวหลายครั้งเพื่อลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลขอื่น และกรรมการนับคะแนนโดยไม่ขานคะแนนของผู้ร้อง หน่วยเลือกตั้งที่ 5 กรรมการนับคะแนนโดยไม่ขานคะแนนของผู้ร้อง และทำบัตรดีให้เป็นบัตรเสียโดยมีการกา 2 ครั้ง ในช่องเดียวกัน เจ้าหน้าที่ขานว่าเป็นบัตรเสียซึ่งลักษณะการกระทำผิดในหน่วยเลือกตั้งอื่นของอำเภอกำแพงแสนอำเภอบางเลนและอำเภอดอนตูมนั้น ผู้ร้องเข้าใจว่าอาจเป็นการกระทำทุจริตโดยเจ้าหน้าที่อาจปล่อยให้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งหลายครั้ง ทำให้คะแนนของผู้ร้องลดลง ดังนี้ เห็นว่าคำร้องของผู้ร้องในตอนที่ 2 ที่เกี่ยวกับหน่วยเลือกตั้งอื่นในอำเภอกำแพงแสน อำเภอบางเลน และอำเภอดอนตูม ดังกล่าวผู้ร้องมิได้ยืนยันว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้ง แต่เป็นความเข้าใจเอาเองของผู้ร้อง ทั้งผู้ร้องมิได้บรรยายให้เห็นว่าบัตรเลือกตั้งที่ใช้เวียนลงคะแนนก็ดี บัตรที่ขานคะแนนของผู้ร้องเป็นของผู้สมัครคนอื่นก็ดี บัตรที่ไม่ขานคะแนนให้ผู้ร้องโดยอ้างว่าเป็นบัตรเสียก็ดีนั้นมีจำนวนเท่าใด การใช้คนเวียนลงคะแนนให้ผู้สมัครคนอื่นและขานคะแนนของผู้ร้องเป็นของผู้สมัครคนอื่นนั้นเป็นผู้สมัครคนใดบ้าง และมีผลทำให้คะแนนของผู้สมัครคนใดเพิ่มขึ้นหรือลดลงจำนวนเท่าใด คำร้องของผู้ร้องที่อ้างเหตุในตอนที่สองนี้เป็นคำร้องที่มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
กรณีจึงเหลือคำร้องตอนแรกในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งที่ 1 ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน ที่ไม่เคลือบคลุม พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องอ้างว่า ทางอำเภอกำแพงแสนจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่ามีจำนวน 875 คน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพียง 775 คน และมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเพียง 437 คน แต่จากรายงานผลการนับคะแนนว่าผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับคะแนน 752 คะแนน เกินกว่าจำนวนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ถ้าเปิดหีบเลือกตั้งมานับใหม่แล้วจะทำให้คะแนนของผู้ร้องเพิ่มขึ้นและทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงนั้นเมื่อปรากฏตามคำร้องว่า ผู้ร้องได้คะแนนน้อยกว่าผู้คัดค้านที่ 2จำนวน 2,305 คะแนน ดังนั้น แม้จะนำจำนวนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในหน่วยเลือกตั้งนี้เป็นคะแนนที่ลงให้แก่ผู้ร้องนำมาหักออกจากคะแนนของผู้คัดค้านที่ 2 ก็หาทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปอันจะทำให้ผู้ร้องได้รับการเลือกตั้งและผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ได้รับการเลือกตั้ง จึงไม่จำต้องเปิดหีบเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนเสียงใหม่ เมื่อคำร้องของผู้ร้องที่คัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 2จังหวัดนครปฐมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2539 เป็นคำร้องที่เคลือบคลุม และไม่ทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไป ดังกล่าวข้างต้นเช่นนี้แล้ว จึงไม่อาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาได้
ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share