แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันพิพาท โดยมีจำเลยที่ 4เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 4ให้การรับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจริงแต่ปฏิเสธว่าขณะทำสัญญาประกันภัย จำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัยโดยมิได้กล่าวในคำให้การว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีส่วนได้เสียอย่างไรคำให้การของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวจึงไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง จำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2และที่ 3 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน 119,994 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 3 เหตุละเมิดเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ฝ่ายเดียว ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์เรียกร้องมานั้นสูงเกินไปขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 รับประกันภัยรถยนต์คันที่เกิดเหตุไว้จริงแต่ขณะทำสัญญาประกันภัย จำเลยที่ 2 และที่ 3ยังไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 95,994 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 23 มีนาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 4เพียงประการเดียวว่า ที่จำเลยที่ 4 ให้การว่า ขณะทำสัญญาประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ท-9681 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2และที่ 3 ยังไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัย สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันกัน จำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยนั้นเป็นคำให้การที่ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองและจำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การดังกล่าวหรือไม่เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 6ท-9681 กรุงเทพมหานครโดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ 4 ให้การรับว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว แต่ปฏิเสธว่าขณะทำสัญญาประกันภัย จำเลยที่ 2และที่ 3 ไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัยโดยมิได้กล่าวในคำให้การว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีส่วนได้เสียอย่างไรคำให้การของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวจึงไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจำเลยที่ 4 จึงไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การนั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน