แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ เก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้ หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่นตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย ฯ มาตรา 22 ทรัพย์สินซึ่งรวบรวมมาได้นั้นบทบัญญัติมาตรา 123 ให้อำนาจผู้คัดค้านที่ 1 ที่จะนำออกขายตามวิธีที่สะดวกและเป็นผลดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการขายโดยวิธีอื่นนอกจากการขายทอดตลาดต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้
ผู้คัดค้านที่ 1 ขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ที่มีต่อผู้ร้องในมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งโดยวิธีอื่นตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากนายพนมผู้ชำระบัญชี้ร้องขอให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนไทย จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ล้มละลาย ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2544 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2545
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 22563/2538 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ที่มีต่อผู้ร้องให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2547 ในราคา 33,919,421.39 บาท การกระทำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่สุจริต ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการขายสิทธิเรียกร้องดังกล่าว และให้ผู้คัดค้านที่ 1 รับชำระเงินจากผู้ร้องตามจำนวนและเงื่อนไขที่กองทุนเพื่อาการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินได้ตกลงไว้กับผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องชำระเงินครบถ้วน ให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องและหรือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันแห่งสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องหรือบุคคลอื่นตามความประสงค์ของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ดำเนินการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้โดยชอบ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมาย กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่ได้ตกลงให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามที่อ้าง ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านการกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 เกินกำหนดเวลา 14 วัน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 146 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์จากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นหนี้ลูกหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 22563/2538 หลังจากลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ผู้ร้องยื่นคำขอประนอมหนี้ลงวันที่ 13 มกราคม 2547 ที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณาแล้วไม่รับคำขอประนอมหนี้ ต่อมาในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2547 ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติให้ผู้คัดค้านที่ 1 นำสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ออกขายโดยวิธีอื่นนอกจากการขายทอดตลาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 123 ผู้คัดค้านที่ 1 ดำเนินการขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2547 โดยวิธียื่นแบบเสนอราคา ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 2 ซื้อสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 22563/2538 ดังกล่าวได้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องมีว่า การขายสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วผู้คัดค้านที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ เก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้หรือซึ่งลูกหนี้มีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 การรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติหมวด 4 ส่วนที่ 4 มาตรา 117 ถึงมาตรา 123 ทรัพย์สินซึ่งรวบรวมได้มานั้นบทบัญญัติในมาตรา 123 ให้อำนาจผู้คัดค้านที่ 1 ที่จะนำออกขายตามวิธีที่สะดวกและเป็นผลดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการขายโดยวิธีอื่นนอกจากการขายทอดตลาดต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้ เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความว่าผู้คัดค้านที่ 1 ขายสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ที่มีต่อผู้ร้องในมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าวโดยวิธีอื่นตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้ร้องเนื่องจากไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป”
พิพากษายืน