แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองค้างชำระหนี้แก่โจทก์ นับถึงวันฟ้องคิดเป็นต้นเงิน 960,000 บาท และดอกเบี้ย 49,106.32 บาท รวมเป็นเงิน 1,009,106.32 บาทโจทก์อุทธรณ์ว่า นับถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองค้างชำระดอกเบี้ย 54,826.87 บาท เมื่อรวมกับต้นเงิน 960,000 บาท แล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 1,014,826.87 บาท ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวให้ยกคำร้อง ดังนี้ คำสั่งศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงหามีสิทธิฎีกาโต้แย้งปัญหาดังกล่าวอีกได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,107,276.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ชำระแทนจำเลยทั้งสองจำนวน 3,226 บาท โดยชำระทุกวันที่ 2 เมษายนของทุก 3 ปี (ที่ถูกน่าจะเป็นทุกปี) เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน2540 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดและหากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับคดียึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,009,106.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีของต้นเงิน 960,000 บาท นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2538จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น และให้ชำระเบี้ยประกันที่โจทก์ออกแทนจำเลยทั้งสองจำนวน 3,226 บาทโดยชำระทุกปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองได้ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 204274 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า นับถึงวันฟ้องโจทก์มีสิทธิจะได้รับชำระเงินจากจำเลยทั้งสอง คิดเป็นต้นเงิน960,000 บาท และดอกเบี้ย 147,276.19 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 1,009,106.32 บาท ไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองค้างชำระหนี้แก่โจทก์นับถึงวันฟ้องคิดเป็นต้นเงิน 960,000 บาท และดอกเบี้ย 49,106.32 บาท รวมเป็นเงิน 1,009,106.32 บาท โจทก์อุทธรณ์ข้อ (2.1) ว่านับถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองค้างชำระดอกเบี้ย 54,826.87 บาท เมื่อรวมกับต้นเงิน 960,000 บาท แล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 1,014,826.87 บาท ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ (2.1) ต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ให้ยกคำร้องคำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคหนึ่งข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า คิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองค้างชำระต้นเงิน 960,000 บาท และดอกเบี้ย 49,106.32 บาท รวมเป็นเงิน 1,009,106.32 บาทมิใช่ยอดหนี้ 1,107,276.19 บาท ดังที่โจทก์อ้างโจทก์จึงหามีสิทธิฎีกาโต้แย้งปัญหาดังกล่าวอีกได้ไม่
พิพากษายกฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์