คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการตรวจอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นอาจตรวจทั้งในข้อที่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 230 รวมตลอดทั้งตรวจอุทธรณ์เพื่อปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นในเหตุอื่นตามมาตรา 230 วรรค 2 และมาตรา 232 ด้วย
ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของโจทก์ตามมาตรา 232 และมีคำสั่งให้คืนฟ้องอุทธรณ์ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมให้ครบถ้วน คำสั่งศาลชั้นต้นนี้เป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์โดยเหตุผลดังที่ปรากฏในคำสั่งนั้น โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นี้ โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นตามมาตรา 234 ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ครบนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง คำสั่งศาลอุทธรณ์ดังนี้เป็นคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปศาลอุทธรณ์นั่นเอง ซึ่งมาตรา 236 บัญญัติว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์นี้ให้เป็นที่สุด โจทก์จึงฎีกาคำสั่งนี้ไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 1223/2498, 1404/2498)

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้ทั้ง ๔ สำนวนรวม ๒๖ โฉนด เป็นกรรมสิทธิ์ของจอมพลสฤษดิ์ ไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจเอาโฉนดที่พิพาทไปโอนให้จำเลยที่ ๒, ๔ และ ๕ จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านผู้หญิงวิจิตราเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิ์ขอให้เพิกถอนการโอนและเรียกเอาทรัพย์คืนได้ แต่ปรากฏว่าระหว่างพิจารณาคดี ได้มีคำสั่งของนายกรัฐมนตรีสั่งตามมาตรา ๑๗ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรให้ทรัพย์สินในกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์และทรัพย์สินของท่านผู้หญิงตกเป็นของรัฐ ฉะนั้น ที่ดินพิพาทพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างรวม ๒๖ โฉนดจึงตกเป็นของรัฐ อำนาจฟ้องของโจทก์จึงตกไป พิพากษายกฟ้องโจทก์
ปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาในชั้นนี้เฉพาะคดีที่โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยพิพากษาให้แก้ทะเบียนในโฉนดมาเป็นของกองมรดกจอมพลสฤษดิ์ตามฟ้อง เพราะไม่มีประเด็นให้ศาลพิพากษาไปถึงการตกเป็นของรัฐ โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาเรื่องละ ๕๐ บาท
ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้คืนฟ้องอุทธรณ์เพื่อให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเสียให้ครบภายในกำหนดอายุความอุทธรณ์
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์สั่งว่าเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในการตรวจอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นอาจตรวจทั้งในข้อที่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔, ๒๓๐ รวมตลอดทั้งตรวจอุทธรณ์เพื่อปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นในเหตุอื่นตามมาตรา ๒๓๐ วรรค ๒ และมาตรา ๒๓๒ ด้วย คดีนี้ ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของโจทก์ตามมาตรา ๒๓๒ และมีคำสั่งให้คืนฟ้องอุทธรณ์ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมให้ครบถ้วน คำสั่งศาลชั้นต้นนี้เป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์โดยเหตุผลดังที่ปรากฏในคำสั่งนั้น โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นี้ โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นตามมาตรา ๒๓๔ ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องของโจทก์นี้แล้วมีคำสั่งว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ครบนั้น ชอบแล้ว จึงให้ยกคำร้องคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังนี้เป็นคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปศาลอุทธรณ์นั่นเอง ซึ่งมาตรา ๒๓๖ บัญญัติว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์นี้ให้เป็นที่สุด โจทก์จึงฎีกาคำสั่งนี้ไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ ๑๒๒๓/๒๔๙๘, ๑๔๐๔/๒๔๙๘)
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์.

Share