คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6596/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การจัดการทรัพย์สินที่จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะต้องเป็นการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1480หากเป็นการจัดการเกี่ยวกับสินส่วนตัวคู่สมรสฝ่ายนั้นย่อมจัดการได้เองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1473คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสจึงไม่มีอำนาจฟ้องเท่านั้นไม่ได้ให้การเลยว่าที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงเป็นสินสมรสและการฟ้องคดีของโจทก์เป็นการจัดการสินสมรสแต่อย่างใดคำให้การจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสอง โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงใดระบุเขตติดต่อระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยโจทก์จำเลยทำสัญญากันว่าอย่างไรมูลเหตุที่มีการทำสัญญาโดยแนบสำเนาสัญญาดังกล่าวแผนที่พิพาททั้งยังมีภาพถ่ายสภาพถนนที่ถูกจำเลยปิดกั้นมาท้ายฟ้องด้วยกับมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยครบถ้วนถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยจำเลยเป็นผู้จะซื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญากับโจทก์โดยยอมตกลงทำถนนกว้าง6เมตรเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์และยอมให้โจทก์ใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ทั้งจำเลยได้สัญญาว่าจะทำถนนเชื่อมจดทางเข้าบ้านโจทก์มีขนาดความกว้าง6เมตรด้วยสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งกันและกันเมื่อโจทก์ได้โอนขายที่ดินแก่จำเลยแล้วจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นโดยต้องทำถนนเป็นทางเชื่อมติดต่อมาจนถึงประตูบ้านโจทก์มีขนาดกว้าง6เมตรและต้องยอมให้โจทก์ใช้ถนนทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ตามสัญญาจำเลยจึงไม่มีสิทธิเลิกสัญญาดังกล่าวกับโจทก์และไม่มีสิทธิที่จะปิดทางพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40708 และ 13164 โดยมีบ้านเลขที่ 74 และฟาร์มเลี้ยงสุกรอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 40708 ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13163 ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 40708 ของโจทก์ ต่อมาจำเลยต้องการขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13163 ให้แก่ผู้อื่น แต่เนื่องจากไม่มีทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์จำเลยกับพวกจึงซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 13164ของโจทก์ทางด้านทิศใต้กว้าง 6 เมตร เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกโดยมีข้อตกลงว่าจะยกทางดังกล่าวให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ต่อไปนอกจากนี้จำเลยจะทำถนนเป็นทางเชื่อมติดต่อระหว่างที่ดินโฉนดเลขที่ 13164 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 40708 มาถึงช่องประตูบ้านโจทก์ขนาดกว้าง 6 เมตร เพื่อใช้เป็นทางร่วมกันโดยมีเจตนาจะยกถนนสายนี้ให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ด้วย ต่อมาจำเลยได้ปักเสาไฟฟ้าและเสาปูนกีดขวางทางเข้าออกของโจทก์ ในที่ดินที่จำเลยตกลงจะทำเป็นถนนเชื่อมระหว่างที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย หลังจากนั้นไม่นานการไฟฟ้าได้ถอนเสาไฟฟ้าออกไป คงเหลือแต่เสาปูนที่กีดขวางทางเข้าออกของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาปูนรวมทั้งสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ออกไป ให้จำเลยเปิดทางเดินตามสภาพเดิมให้จำเลยทำถนนเชื่อมระหว่างที่ดินโฉนดเลขที่ 13164 มาถึงประตูทางเข้าบ้านโจทก์ ขนาดกว้าง 6 เมตร และให้จำเลยมอบถนนสายนี้ให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นทางสาธารณประโยชน์ต่อไป ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนและทำถนนได้เอง โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าโจทก์ต้องการให้จำเลยทำถนนเป็นทางเชื่อมระหว่างที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงตรงส่วนไหน มีเนื้อที่เท่าไร กว้างยาวเท่าไร และโจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเคยทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13164และตกลงให้โจทก์ใช้ที่ดินนั้นขนาดกว้าง 6 เมตร เป็นทางเข้าออกจริงแต่โจทก์กลับนำรถยนต์แล่นเข้าไปในที่ดินส่วนอื่น ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยไม่เคยผิดสัญญาต่อโจทก์ และไม่เคยแสดงเจตนาว่าจะยกทางพิพาทให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นถนนสาธารณประโยชน์แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องโอนทางพิพาทให้แก่ทางราชการตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนที่กีดขวางทางเข้าบ้านโจทก์ รวมทั้งสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ออกไป และให้จำเลยเปิดทางเดินให้ใช้ทางได้อย่างสภาพเดิม ให้จำเลยทำถนนเป็นทางเชื่อมระหว่างที่ดินโฉนดเลขที่ 13164 มาจนถึงหน้าประตูทางเข้าบ้านโจทก์ให้มีความกว้าง 6 เมตร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาข้อแรกเป็นใจความว่าจำเลยได้ให้การชัดแจ้งแล้วว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากภริยาจึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยเรื่องอำนาจฟ้องจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า การจัดการทรัพย์สินที่จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะต้องเป็นการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 หากเป็นการจัดการเกี่ยวกับสินส่วนตัว คู่สมรสฝ่ายนั้นย่อมจัดการได้เองตามมาตรา 1473 คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสจึงไม่มีอำนาจฟ้องเท่านั้น ไม่ได้ให้การเลยว่าที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงเป็นสินสมรส และการฟ้องคดีของโจทก์เป็นการจัดการสินสมรสแต่อย่างใด คำให้การจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายคำฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงใดระบุเขตติดต่อระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยโจทก์จำเลยทำสัญญากันว่าอย่างไร มูลเหตุที่มีการทำสัญญาโดยแนบสำเนาสัญญาดังกล่าว แผนที่พิพาท ทั้งยังมีภาพถ่ายสภาพถนนที่ถูกจำเลยปิดกั้นมาท้ายฟ้องด้วย กับมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยครบถ้วน ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งอ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13164 กันโดยจำเลยเป็นผู้จะซื้อที่ดินดังกล่าวของโจทก์ และจำเลยได้ตกลงทำสัญญากับโจทก์โดยยอมตกลงทำถนนกว้าง 6 เมตร เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ และยอมให้โจทก์ใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ ทั้งจำเลยได้สัญญาว่าจะทำถนนเชื่อมจดทางเข้าบ้านโจทก์มีขนาดความกว้าง 6 เมตร ด้วยสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งกันและกันเมื่อโจทก์ได้โอนขายที่ดินแก่จำเลยแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น โดยต้องทำถนนเป็นทางเชื่อมติดต่อมาจนถึงประตูบ้านโจทก์มีขนาดกว้าง 6 เมตร และต้องยอมให้โจทก์ใช้ถนนทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ตามสัญญาที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่า โจทก์ประพฤติผิดสัญญากล่าวคือโจทก์นำรถยนต์มากลับรถในที่ดินส่วนอื่น ๆ ของจำเลยทำให้พืชผักที่ปลูกไว้เสียหายจำเลยจึงมีสิทธิเลิกสัญญาดังกล่าวได้นั้นเห็นว่า ตามสัญญาดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะบอกเลิกสัญญาเช่นกรณีนี้ได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเลิกสัญญาดังกล่าวกับโจทก์ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาอีกว่า สัญญามิได้ระบุว่าให้ใช้ทางพิพาทนานเท่าใด โจทก์ไม่มีความจำเป็นใช้ทางพิพาทเพราะโจทก์ใช้ทางเดินทางด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์ไปสู่ถนนสาธารณประโยชน์ได้แล้วทั้งจำเลยก็ไม่ประสงค์จะให้โจทก์ใช้ทางพิพาทอีกต่อไป จำเลยจึงมีสิทธิปิดทางพิพาทได้นั้น เห็นว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน ดังนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะปิดทางพิพาท เมื่อจำเลยนำเสาปูนมาปักปิดกั้นทางพิพาทเพื่อมิให้โจทก์ได้ใช้ทางพิพาท จำเลยจึงเป็นผู้ผิดสัญญา
พิพากษายืน

Share