คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6593/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์คดีนี้ออกจากที่ดินพิพาทต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืน หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาทหากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาทคดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง ดังนี้ การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีใหม่ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้น ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วโอนขายให้โจทก์ ได้รับเงินค่าที่ดินพิพาทจำนวน 130,000 บาท จากโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยได้ขอให้บังคับคดีแล้วหากโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาก็สามารถขอให้บังคับคดีในคดีเดิมได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำโจทก์ใช้สิทธิในการบังคับคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ พิเคราะห์แล้วคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 314/2532 ของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยขอให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการขายฝาก ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมใจความว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย คิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกในอัตราร้อยละ 30ของผลผลิตที่ได้จากที่ดินพิพาทที่เช่าทั้งหมด จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืนในราคา 130,000 บาท ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2534หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาท หากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุดคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความ หากคู่ความไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไปได้ อนึ่ง คดีดังกล่าวโจทก์เคยยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง แต่กลับมายื่นฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้ คำร้องของโจทก์ในคดีก่อนและคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเป็นประเด็นเดียวกัน คือให้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นรายเดียวกัน ศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีก่อนไปแล้ว คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้สืบพยานต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share