คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อการสมรสระหว่างโจทก์กับ จ. เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495 เนื่องจาก จ. มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์ จึงมีผลเท่ากับโจทก์กับ จ. มิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรก ไม่อาจถือเอาเงินได้ที่ จ. ได้รับมาเป็นเงินได้ของโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี โจทก์ไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้จำนวนดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2539 นางจุฑารัตน์เกียรติเลิศพงศา ภริยาโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์กับบุคคลอื่นรวม 5 คนเป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างการพิจารณาคดีนางจุฑารัตน์ตกลงกับนายสุรชัย ศิริภาภรณ์ จำเลยที่ 4 โดยรับเงินจากนายสุรชัยจำนวน 11,300,000 บาท แล้วนางจุฑารัตน์ถอนฟ้องคดีดังกล่าวคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้จากยอดเงินที่นางจุฑารัตน์รับไปดังกล่าว เป็นเงินค่าภาษีจำนวน3,208,086 บาท เบี้ยปรับจำนวน 3,208,086 บาท เงินเพิ่มจำนวน914,304.51 บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 7,330,476.51 บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และได้ยื่นฟ้องนางจุฑารัตน์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขอให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยเรียกเก็บเงินค่าภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้นจำนวน 5,726,433.51บาท โดยให้เหตุผลว่านางจุฑารัตน์ภริยาเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินถือว่าเงินได้เป็นของสามี โจทก์กับนางจุฑารัตน์มิได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน ความเป็นสามีภริยายังมีอยู่ตลอดไป เงินได้ที่ภริยารับจึงถือเป็นเงินได้ของคู่สมรส มิใช่เงินได้ส่วนตัวของภริยาการสมรสที่เป็นโมฆะเกิดขึ้นภายหลังไม่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอก ผู้กระทำการโดยสุจริต ซึ่งได้มาก่อนการบันทึกความเป็นโมฆะในทะเบียนสมรส แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยกล่าวคือ นางจุฑารัตน์ฟ้องคดีเองมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งยังฟ้องโจทก์ด้วยกรณีจึงเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์แก่โจทก์คู่สมรส ถือไม่ได้ว่านางจุฑารัตน์ฟ้องคดีเพื่อเป็นประโยชน์ต่อทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสเมื่อนางจุฑารัตน์เป็นผู้รับเงินจากนายสุรชัยผู้ซื้อที่ดินในคดีที่ตนยื่นฟ้องจึงควรเป็นเงินได้อื่นใดของผู้มีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)ซึ่งจำเลยควรเรียกนางจุฑารัตน์มาตรวจสอบไต่สวนและประเมินภาษีเงินได้จากนางจุฑารัตน์ผู้มีเงินได้จากการฟ้องคดีเนื่องจากนางจุฑารัตน์มีเงินได้เพียงผู้เดียว และเงินได้จากการฟ้องคดีที่นางจุฑารัตน์รับไว้เพียงผู้เดียวมิใช่เงินได้จากสินสมรส นอกจากนี้การสมรสที่เป็นโมฆะจะไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา ทรัพย์สินฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสคงเป็นของฝ่ายนั้นเมื่อการสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์ตกเป็นโมฆะแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สิน รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ โจทก์จึงหาต้องรับผิดในเงินค่าภาษีจากเงินได้ที่นางจุฑารัตน์รับไว้ไม่ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามแบบหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.12 เลขที่ สต. 7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25 กันยายน 2541และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ สภ. 1 (อธ.3) /83/2543 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543

จำเลยให้การว่า นางจุฑารัตน์ได้รับเงินไว้จำนวน 11,300,000บาท จากผู้อื่นเพื่อยอมความในคดีที่นางจุฑารัตน์เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวก นางจุฑารัตน์จึงเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของนางจุฑารัตน์เป็นเงินได้ของสามีคือโจทก์ และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีซึ่งไม่มีบทกฎหมายใดกำหนดว่าเฉพาะเงินได้ที่เป็นสินสมรสเท่านั้นที่จะต้องให้สามีรับผิดค่าภาษี โจทก์จึงมีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีจากเงินได้ดังกล่าวและแม้การสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์จะเป็นโมฆะแต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 บัญญัติว่าไม่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและได้มาก่อนมีการบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรสซึ่งศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 ให้การสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ แต่สิทธิและหน้าที่ในการประเมินภาษีของจำเลย และหน้าที่ความรับผิดชอบของโจทก์ในการยื่นแบบรายการและเสียภาษีเงินได้พึงประเมินของนางจุฑารัตน์เกิดขึ้นแล้วโจทก์จึงยังคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีเหมือนเดิม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นสามีนางจุฑารัตน์ เกียรติเลิศพงศา เมื่อปีภาษี 2539นางจุฑารัตน์ได้รับเงินจำนวน 11,300,000 บาท จากจำเลยที่ 4ในคดีหมายเลขดำที่ 371/2539 คดีหมายเลขแดงที่ 2757/2539ของศาลจังหวัดนนทบุรี ซึ่งนางจุฑารัตน์ฟ้องโจทก์กับพวกรวม 5 คน เป็นคดีแพ่งขอเพิกถอนนิติกรรม โจทก์มิได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ สต.7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25 กันยายน 2541 ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2539 เพิ่มเติมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้นจำนวน 7,330,476 บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และยื่นฟ้องนางจุฑารัตน์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ขอให้พิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ เนื่องจากนางจุฑารัตน์มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์ วันที่ 3 กันยายน2542 ศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ. 1 (อธ.3) /83/2543ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543 ให้โจทก์ชำระค่าภาษีกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้นจำนวน 5,726,433.51 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินจำนวน 11,300,000 บาท ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าเมื่อการสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495เนื่องจากนางจุฑารัตน์มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์มีผลเท่ากับโจทก์กับนางจุฑารัตน์มิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรกจึงไม่อาจถือว่าเงินได้จำนวน 11,300,000 บาท ที่นางจุฑารัตน์ได้รับมาเป็นเงินได้ของโจทก์ตามความในมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้จำนวนนี้ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ สต.7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25 กันยายน 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ สภ. 1 (อธ.3) /83/2543ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543

Share