แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นสามี จ. เมื่อปีภาษี 2539 จ. ได้รับเงินจำนวน 11,300,000 บาท จากจำเลยที่ 4 ในคดีที่ จ. ฟ้องโจทก์กับพวกรวม 5 คน เป็นคดีแพ่งขอเพิกถอนนิติกรรมโจทก์มิได้นำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2539 เพิ่มเติมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้น 7,330,476 บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และยื่นฟ้องจ. ต่อศาลขอให้พิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับ จ. เป็นโมฆะ เนื่องจาก จ. มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์ ศาลพิพากษาว่า การสมรสเป็นโมฆะ ดังนั้นเมื่อการสมรสระหว่างโจทก์กับ จ. เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495 มีผลเท่ากับมิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรก จึงไม่อาจถือว่าเงินได้จำนวน 11,300,000 บาท ที่ จ. ได้รับมาเป็นเงินได้ของโจทก์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี โจทก์ไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้จำนวนนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2539 นางจุฑารัตน์ เกียรติเลิศพงศา ภริยาโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์กับบุคคลอื่นรวม 5 คน เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างการพิจารณาคดีนางจุฑารัตน์ตกลงกับนายสุรชัย ศิริภากรณ์ จำเลยที่ 4 โดยได้รับเงินจากนายสุรชัยจำนวน11,300,000 บาท แล้วนางจุฑารัตน์ถอนฟ้องคดีดังกล่าว คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้จากยอดเงินที่นางจุฑารัตน์รับไปดังกล่าว เป็นเงินค่าภาษี จำนวน 3,208,086 บาท เบี้ยปรับจำนวน 3,208,086 บาท เงินเพิ่มจำนวน914,304.51 บาท รวมทั้งสิ้น 7,330,476.51 บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และได้ยื่นฟ้องนางจุฑารัตน์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขอให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ ศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยเรียกเก็บเงินค่าภาษีจำนวน 3,208,086บาท เบี้ยปรับจำนวน 1,604,043 บาท และเงินเพิ่มจำนวน 914,304.50 บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,726,433.51 บาท โดยให้เหตุผลว่า นางจุฑารัตน์ภริยาเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินถือว่าเงินได้เป็นของสามี เจ้าพนักงานมีอำนาจออกหมายเรียกสามีมาไต่สวนประเมินภาษีได้ โจทก์กับนางจุฑารัตน์มิได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน ความเป็นสามีภริยายังมีอยู่ตลอดไป เงินได้ที่ภริยาได้รับจึงถือเป็นเงินได้ของคู่สมรสมิใช่เงินได้ส่วนตัวภริยา การสมรสที่เป็นโมฆะเกิดขึ้นภายหลังไม่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตซึ่งได้มาก่อนการบันทึกความเป็นโมฆะในทะเบียนสมรส การประเมินของเจ้าพนักงานถูกต้อง กรณีมีเหตุผ่อนผัน ลดเบี้ยปรับลงคงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย ส่วนเงินเพิ่มไม่อาจงดหรือลดให้ได้ โจทก์ได้รับคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม2543 แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยกล่าวคือ นางจุฑารัตน์ฟ้องคดีเองมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งยังฟ้องโจทก์ด้วย กรณีจึงเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์แก่โจทก์คู่สมรส ถือไม่ได้ว่านางจุฑารัตน์ฟ้องคดีเพื่อประโยชน์ต่อทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส เมื่อนางจุฑารัตน์เป็นผู้รับเงินจากนายสุรชัยผู้ซื้อที่ดินในคดีที่ตนยื่นฟ้องจึงควรเป็นเงินได้อื่นใดของผู้มีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) ซึ่งจำเลยควรเรียกนางจุฑารัตน์มาตรวจสอบไต่สวนและประเมินภาษีเงินจากนางจุฑารัตน์ผู้มีเงินได้จากการฟ้องคดี เนื่องจากนางจุฑารัตน์มีเงินได้เพียงผู้เดียว และเงินได้จากการฟ้องคดีที่นางจุฑารัตน์ได้รับไว้เพียงผู้เดียวมิใช่เงินได้จากสินสมรสอันจะถือเป็นเงินได้ของภริยา ซึ่งโจทก์เป็นสามีจะต้องรับผิดค่าภาษีเนื่องจากที่ดินที่พิพาทเป็นของนายเกรียง เกียรติเลิศพงศา มิใช่สินสมรส นอกจากนี้การสมรสที่เป็นโมฆะ จะไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาทรัพย์สินฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสคงเป็นของฝ่ายนั้น เมื่อการสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์ตกเป็นโมฆะแล้วย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินรวมทั้งสิทธิและหน้าที่ โจทก์จึงหาต้องรับผิดในเงินค่าภาษีจากเงินได้ที่นางจุฑารัตน์รับไว้ไม่ ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามแบบหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.12 เลขที่ สต.7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25กันยายน 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ.1(อธ.3)/83/2543 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543
จำเลยให้การว่า นางจุฑารัตน์เป็นภริยาโจทก์ที่อยู่ร่วมกันมาตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว ในปี 2539 นางจุฑารัตน์ได้รับเงินไว้จำนวน 11,300,000 บาท จากผู้อื่นเพื่อยอมความในคดีที่นางจุฑารัตน์เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้กับพวก นางจุฑารัตน์จึงเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของนางจุฑารัตน์เป็นเงินได้ของสามีคือโจทก์ และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี ซึ่งไม่มีบทกฎหมายใดกำหนดว่าเฉพาะเงินได้ที่เป็นสินสมรสเท่านั้นที่จะต้องให้สามีรับผิดค่าภาษี โจทก์มีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีจากเงินได้ดังกล่าวและแม้การสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์จะเป็นโมฆะ แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 บัญญัติว่า ไม่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและได้มาก่อนมีการบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส ซึ่งศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 ให้การสมรสของโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะแต่สิทธิและหน้าที่ในการประเมินภาษีของจำเลย และหน้าที่ความรับผิดชอบของโจทก์ในการยื่นแบบรายการและเสียภาษีเงินได้พึงประเมินของนางจุฑารัตน์เกิดขึ้นตั้งแต่ปีภาษี2539 โจทก์จึงยังคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีเหมือนเดิมขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นสามีนางจุฑารัตน์ เกียรติเลิศพงศา เมื่อปีภาษี 2539 นางจุฑารัตน์ ได้รับเงินจำนวน11,300,000 บาท จากจำเลยที่ 4 ในคดีหมายเลขดำที่ 371/2539 คดีหมายเลขแดงที่ 2757/2539 ของศาลจังหวัดนนทบุรี ซึ่งนางจุฑารัตน์ฟ้องโจทก์กับพวกรวม 5 คนเป็นคดีแพ่งขอถอนนิติกรรม โจทก์มิได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12)เลขที่ สต.7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25 กันยายน 2541 ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2539 เพิ่มเติมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้นจำนวน7,330,476 บาท โจทก์ อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และยื่นฟ้องนางจุฑารัตน์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ขอให้พิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ เนื่องจากนางจุฑารัตน์มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์ วันที่ 3 กันยายน 2542 ศาลจังหวัดนนทบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ.1(อธ.3)/83/2543ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543 ให้โจทก์ชำระค่าภาษีกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้น5,726,433.51 บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินจำนวน 11,300,000 บาท ตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า เมื่อการสมรสระหว่างโจทก์กับนางจุฑารัตน์เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495 เนื่องจากนางจุฑารัตน์มีคู่สมรสอยู่แล้วในขณะที่สมรสกับโจทก์ มีผลเท่ากับโจทก์กับนางจุฑารัตน์มิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรก จึงไม่อาจถือว่าเงินได้จำนวน 11,300,000 บาท ที่นางจุฑารัตน์ได้รับมาเป็นเงินได้ของโจทก์ ตามความในมาตรา 57 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้จำนวนนี้ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ สต.7/01005290/1/102477 ลงวันที่ 25กันยายน 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ สภ.1(อธ.3)/83/2543 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2543