แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
วันที่ 9 มีนาคม 2543 ซึ่งเป็นวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ภายหลังจากศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้ว เห็นว่าคดีไม่จำเป็นต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากศาลแรงงานกลางมีคำสั่งงดสืบพยานเกือบ 2 เดือน จำเลยมีโอกาสที่จะโต้แย้งคำสั่งที่ให้งดสืบพยานซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาได้ แต่จำเลยไม่ได้โต้แย้ง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ต่อมาจำเลยได้ลดค่าจ้างผู้บริหารรวมทั้งโจทก์ เฉพาะของโจทก์ลดลงไปเดือนละ 2,022 บาท ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2540 รวม 26 เดือน เป็นเงิน 52,572 บาท การลดเงินเดือนและไม่จ่ายค่าจ้างส่วนที่ลดแก่โจทก์เป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ เป็นการผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและผิดสัญญาจ้าง โจทก์มีสิทธิได้ค่าจ้างส่วนที่ถูกลด เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าจ้างที่จำเลยไม่มีอำนาจจะลดดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2543 ดังนั้นเฉพาะค่าจ้างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2540 จึงขาดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่งกำหนดว่า ในกรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างภายในเวลาที่กำหนดตามมาตรา 70 ให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี เมื่อจำเลยผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามบทบัญญัติข้างต้น มิใช่เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2534 จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนา และผู้จัดการฝ่ายบริหาร ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 40,440 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน2540 จำเลยได้มีประกาศลดอัตราเงินเดือนของพนักงานระดับผู้บริหารการลดอัตราเงินเดือนดังกล่าว โจทก์มิได้ยินยอมด้วย จำเลยลดเงินเดือนโจทก์จาก 40,440 บาท เหลือ 38,418 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน2540 ถึงเดือนธันวาคม 2542 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างโจทก์อีกเดือนละ2,022 บาท จำนวน 26 เดือน เป็นเงิน 52,572 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้าง 52,572 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยโดยคณะกรรมการบริหารและผู้บริหารระดับผู้จัดการแผนกได้ประชุมลดอัตราเงินเดือนพนักงานระดับผู้บริหาร และให้ผู้บริหารทุกคนนำมติไปแจ้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หากไม่ตกลงยินยอมด้วยให้ทำหนังสือคัดค้านภายใน 15 วันนับแต่วันที่ออกประกาศ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 จำเลยได้ประกาศมติดังกล่าวและถือปฏิบัติตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2540 ต่อมาจำเลยได้ขยายเวลาตามมติออกไปตามประกาศฉบับลงวันที่ 2 เมษายน 2541 โจทก์มีส่วนร่วมทั้งในการประชุมและในการลงมติโจทก์ไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร คดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์จำเลยไม่เคยตกลงกันให้จ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า จำเลยไม่ได้ยื่นข้อเรียกร้องขอลดค่าจ้างโจทก์ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ไม่มีการเจรจาและทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์จำเลย จำเลยลดค่าจ้างโจทก์โดยไม่มีอำนาจ เป็นการผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและผิดสัญญาจ้างพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 52,572 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง(ฟ้องวันที่ 5 มกราคม 2543) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ให้งดสืบพยานจำเลยเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 บัญญัติว่า “ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228
(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา
(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใดให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้…”บทบัญญัติดังกล่าวต้องนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมในคดีแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนคดีนี้ว่าในวันที่ 9 มีนาคม 2543 ซึ่งเป็นวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ภายหลังจากศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความและคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงแล้ว ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีไม่มีความจำเป็นจะต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยกับพยานโจทก์และให้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากศาลแรงงานกลางมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยเกือบ 2 เดือน จำเลยมีโอกาสที่จะโต้แย้งคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ให้งดสืบพยานจำเลยซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาได้ แต่จำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อต่อมาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี…(9) ลูกจ้างไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว หรือลูกจ้างรายวัน รวมทั้งผู้ฝึกงาน เรียกเอาค่าจ้างหรือสินจ้างอย่างอื่น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป…” ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติได้ความว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ต่อมาจำเลยได้ลดค่าจ้างผู้บริหารรวมทั้งโจทก์ เฉพาะของโจทก์ลดลงไปเดือนละ 2,022 บาท ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2540 รวม 26 เดือน เป็นเงิน 52,572 บาท การลดเงินเดือนโจทก์ดังกล่าวและไม่จ่ายค่าจ้างส่วนที่ลดแก่โจทก์เป็นการที่จำเลยนายจ้างกระทำโดยไม่มีอำนาจ เป็นการผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและผิดสัญญาจ้างโจทก์มีสิทธิได้ค่าจ้างส่วนที่ถูกลด เมื่อปรากฏว่าโจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าจ้างที่จำเลยไม่มีอำนาจจะลดดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2543 ดังนั้นเฉพาะค่าจ้างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2540 รวมเป็นเงิน 4,044 บาท ซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกเอาจากจำเลยจึงขาดอายุความ 2 ปี ตามบทบัญญัติข้างต้น ฟ้องโจทก์หาได้ขาดอายุความไปเสียทั้งหมดดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยต่อไปว่า จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินค่าจ้างที่จะต้องชำระแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้าง…ไม่จ่ายค่าจ้าง…ภายในเวลาที่กำหนดตามมาตรา 70… ให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี” เมื่อจำเลยผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามบทบัญญัติข้างต้น หาใช่เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 48,528 บาท แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง