แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทนายจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ต้องถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ถึงแม้ว่าจำเลยซึ่งเป็นตัวความจะไม่ทราบวันนัดก็ตาม เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 บัญญัติว่า ทนายความซึ่งคู่ความได้แต่งตั้งนั้นมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนคู่ความได้ตามที่เห็นสมควร
ตามใบแต่งทนายความของจำเลย ระบุว่าให้ทนายจำเลยมีอำนาจใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาได้ด้วย การที่ทนายจำเลยทราบวันนัดฟังคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่แจ้งวันนัดให้จำเลยทราบ จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างต่อศาลหาได้ไม่ เพราะจำเลยมีทนายความกระทำการแทนตนอยู่แล้วการที่ทนายจำเลยไม่ดูแลและเอาใจใส่คดีของจำเลยเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับทนายจำเลย จึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ที่ศาลจะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองถอนฟ้องจำเลยร่วมและมีคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง 298,900 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ว่า ไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อใด เพราะทนายจำเลยมิได้แจ้งให้ทราบ เพิ่งทราบเมื่อได้รับคำบังคับจากศาล ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พ้นกำหนดยื่นอุทธรณ์ จำเลยมิได้จงใจไม่ยื่นอุทธรณ์ในกำหนด และกรณีเป็นเหตุสุดวิสัย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เหตุที่อ้างตามคำร้องมิใช่เป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยอันจะมีคำขอภายหลังสิ้นกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2541 ว่านัดสืบพยานจำเลย โจทก์ที่ 1 ทนายโจทก์ทั้งสองและทนายจำเลยมาศาลสืบพยานจำเลยได้ 1 ปาก ทนายจำเลยแถลงหมดพยานคดีเสร็จการพิจารณา จึงให้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 30 มิถุนายน 2541 เวลา 13.30 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษา โจทก์ทั้งสองและทนายโจทก์ทั้งสองมาศาลศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความที่มาศาลฟังแล้ว และถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่ทนายจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ต้องถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ถึงแม้ว่าจำเลยซึ่งเป็นตัวความจะไม่ทราบวันนัดก็ตาม เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 บัญญัติว่า ทนายความซึ่งคู่ความได้แต่งตั้งนั้นมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆแทนคู่ความได้ตามที่เห็นสมควร ซึ่งตามใบแต่งทนายความของจำเลย ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2539 ก็ระบุในใบแต่งทนายความแล้วว่าให้มีอำนาจ ฯลฯ ใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาได้ด้วย ดังนั้น การที่ทนายจำเลยทราบวันนัดฟังคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่แจ้งวันนัดให้จำเลยทราบ จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างต่อศาลหาได้ไม่ เพราะจำเลยมีทนายความกระทำการแทนตนอยู่แล้ว การที่ทนายจำเลยไม่ดูแลและเอาใจใส่คดีของจำเลยเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับทนายจำเลย ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
พิพากษายืน