คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบรรยายฟ้องคดีอาญานั้นไม่จำต้องเขียนข้อความล้อหรือเลียนให้เหมือนถ้อยคำที่บัญญัตไว้ในตัวบทกฎหมาย เมื่อได้กล่าวบรรยายลักษณะของความผิดครบถ้วนและถูกต้องตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 แล้วก็ใช้ได้
การฟ้องคดีหาว่าจำเลยเบิกความเท็จนั้นแม้ในฟ้องจะมิได้ใช้คำว่าถ้อยคำที่จำเลยเบิกความนั้นจำเลยรู้อยู่ว่าเป็น เท็จแต่เมื่อถ้อยคำทั้งหลายในฟ้องแสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยเบิกความโดยจงใจนำความเท็จมากล่าวว่าเป็นความ จริง ซึ่งเท่ากับเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกความนั่นเอง ไม่มีความหมายผิดแผกแตกต่างอะไรกันฉะนั้นเมื่อฟ้องบรรยายลักษณะความผิดครบถ้วนและถูกต้องตามมาตรา 158 แห่ง ป.ม.วิ.อาญาแล้วก็ใช้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๔๙๒ เวลากลางวัน จำเลยได้สาบาลตัวแล้วบังอาจเบิกความเท็จในข้อสำคัญในคดีอาญาดำที่ ๑๐๗,๑๔๖/๒๔๙๒ ของศาลจังหวัดเพ็ชรบุรี โดยจำเลยเบิกความว่าข้อสำคัญคดีอาญาดำที่ ๑๐๗,๑๔๖/๒๔๙๒ ของศาลจังหวัดเพ็ชรบุรีโดยจำเลยเบิกความว่า นางสาวงามจิตต์ กาญจนรัตน์ เดินตามนายสัมฤทธิ เผ่าจินดากับพวกไป ไม่มีการฉุดคร่าห์ แต่ความจริงนั้นนางสาวงามจิตต์ กาญจนรัตน์ถูกนายสัมฤทธิ เผ่าจินดา กับพวกฉุดคร่าห์ไปเพื่อการอนาจารขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อความว่าถ้อยคำที่จำเลยเบิกความมานั้น จำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ ฟ้องของโจทกืจึงไม่ถูกต้องตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๑๕๘ ให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าในฟ้องของโจทก์มได้ใช้คำว่าถ้อยคำที่จำเลยเบิกความนั้น จำเลยรู้อยู่ว่าเป็นเท็จแต่ถ้อยคำทั้งหลายในฟ้องของโจทก์แสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยเบิกความโดยจงใจนำความเท็จมา กล่าวว่าเป็นความจริง ซึ่งเท่ากับเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกนั่นเอง ไม่มีความหมายผิดแผกแตกต่างอะไรกัน ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎหมายว่าในการฟ้องคดีอาญา จำจะต้องเขียนข้อความล้อหรือเลียนให้เหมือนกับถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในตัวบท เมื่อโจทก์ได้กล่าวบรรยายลักษณะความผิดครบถ้วน และถูกต้องตามมาตรา ๑๕๘ แห่ง ป.ม.วิ.อาญา แล้วก็ใช้ได้ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

Share